ข่าวการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตกค้าง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ตามโครงการ “ท่าเรือสีขาว” เพื่อตรวจสอบสินค้าผิดกฏหมาย ที่กรมศุลกากรเป็นโต้โผดำเนินการ และมีการแถลงข่าวเมื่อ 24 กพ.66 นั้น สร้างความฮือฮาไม่น้อย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐสุ่มเปิด 5 ตู้ เป็นตู้ประเภทเสียบปลั๊กไฟฟ้าแช่เย็น 3 ตู้ และเป็นตู้แห้งที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าอีก 2 ตู้ น่าตกใจ!! ในตู้คอนเทนเนอร์แช่เย็นทั้งหมด มันบรรจุ “หมูเถื่อน” จากบราซิล รวมจำนวนมากถึง 90,000 กิโลกรัม
จากรายงานของกรมศุลกากร ระบุว่า ปัจจุบันที่ท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้าที่เป็นของกลาง ของตกค้าง ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี หรือรอจำหน่าย จำนวนทั้งสิ้น 331 ตู้ ในจำนวนนี้เป็นตู้แช่เย็นที่เสียบไฟฟ้าอยู่ 64 ตู้ หากเทียบสถิติการเปิดตู้วันแรก พบว่าทุกตู้แช่เย็นเป็นตู้บรรจุหมูเถื่อนทั้ง 100% นั่นแสดงว่าเราอาจจะพบหมูเถื่อนอีก 64 x 30,000 กก. = 1,920,000 กิโลกรัม มากกว่าหมูเถื่อนที่ถูกฝังทำลายครั้งประวัติศาสตร์ 7 แสนกิโลกรัมที่ จ.เพชรบุรี ด้วยซ้ำ (ผู้เขียนคาดว่าหากมีสินค้าแช่แข็งอื่นๆปะปนบ้าง ก็ไม่น่าเกิน 20-30% ของตู้ทั้งหมด)
นี่เป็นเพียงปริมาณหมูเถื่อนที่ตกค้างอยู่ในตู้ แล้วที่อยู่นอกตู้ปะปนอยู่ในตลาดจะมากมายมหาศาลเพียงใด ว่ากันว่ากว่าครึ่งหนึ่งของร้านจำหน่ายชิ้นส่วนหมูสดในประเทศไทย ล้วนเคยมีประสบการณ์รับซื้อหมูเถื่อนเข้ามาขายทั้งสิ้น ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมขณะนี้ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มของไทยจึงตกต่ำกราวรูดลงจาก 100 บาท/กก. ในช่วงต้นกุมภาพันธ์ ลดลงมาเหลือเพียง 70-80 บาท/กก.ในขณะนี้ ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทยเดือดร้อน ขาดทุนกันแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นทึ่มาของพิกบอร์ดเรียกประชุมหาแนวทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
ปกติแล้วการนำเข้าสินค้าเนื้อสัตว์เข้ามายังราชอาณาจักรไทย ผู้นำเข้าต้องแจ้ง ทั้งการท่าเรือ กรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ ก่อนที่ตู้สินค้าจะมาถึง และเมื่อตู้ถูกวางไว้ที่ท่าเรือแล้ว เท่ากับว่าผ่านกระบวนการแจ้งนำเข้ามาแล้วกำลังรอการสำแดงเพื่อนำตู้ออกจากท่าเท่านั้น หมายความว่าอย่างน้อยหน่วยงานรัฐสองแห่งแรก ย่อมมีเอกสารที่ระบุ “รายชื่อผู้นำเข้า” อยู่ในมือ
การเปิดตู้พบสินค้าผิดกฏหมายเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะติดตามเจ้าของตู้สินค้าเหล่านี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสาวไปให้ถึงต้นตอ เว้นเสียแต่จะมีการปกปิดกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้น
ในระหว่างทางที่ภาครัฐต้องเร่งจัดการ “หมูเถื่อน” ที่เข้ามาเบียดเบียนตลาดของเกษตรกร อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐต้องทำควบคู่กันไป ก่อนที่เกษตรกรจะล้มหายตายจากไปมากกว่านี้ คือการช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร เพื่อลดภาวะขาดทุน และดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ต้นทุนการผลิตสำคัญของคนเลี้ยงหมูคือ “วัตถุดิบอาหารสัตว์” ซึ่งจุดนี้มี “กรมการค้าภายใน” เป็นผู้รับผิดชอบดูแลราคาธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง ฯลฯ รวมไปถึงดูแลราคาขายปลายทางให้คุ้มต้นทุน จะเรียกว่า “เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู” อยู่ในกำมือของกรมการค้าภายในก็คงไม่ผิดนัก
หนึ่งในหัวข้อหาที่เกษตรกรเรียกร้องขอความช่วยเหลือเร่งด่วนคือการขอให้รัฐบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะวัตถุดิบอาหารสัตว์ขึ้นราคา อาทิ ยกเลิกมาตรการอุปสรรคต่างๆ เช่น มาตรการนำเข้าข้าวโพด : ข้าวสาลี (3:1) ที่ไม่เอื้อต่อการจัดหาวัตถุดิบ ระเบียบโควต้าการนำเข้าวัตถุดิบ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และอื่นๆ รวมถึงยกเลิกภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ตลอดจนวางแผนระยะยาวให้ครอบคลุมห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งเส้น เพื่อเกษตรกรไทยจะสามารถประกอบอาชีพผลิตอาหารเพื่อคนไทยต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ใบหน้าเกษตรกรตาดำๆ ที่ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงหมูเพื่อคนไทยลอยมาเป็นแถว พวกเขาเหล่านี้บอบช้ำหนักกับการถูก “หมูเถื่อน” เบียดเบียนตลาด ด้วยฝีมือการป้องกันของรัฐที่สอบไม่ผ่าน แล้วยังต้องแบกรับต้นทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ของบรรดา “วัตถุดิบอาหารสัตว์” อันเกิดจากปัจจัยด้านนโยบายรัฐที่สร้างอุปสรรคด้านนี้มานานนม ขณะที่ราคาขายหมูกลับไม่สามารถสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง … แบบนี้เป็นใครก็ตายหยังเขียด … หากไม่รีบแก้คนไทยก็คงแย่กันทั้งประเทศ
โดย วลัญช์ ศรัทธา