เป็นที่ทราบกันดีว่า “การติดเชื้อ ASF มักเกิดในรายย่อย โดยเฉพาะเกษตรกรที่เลี้ยงแบบหลังบ้าน” สาเหตุเพราะช่องทางการติดโรค คือ การใช้เศษอาหารที่มีเนื้อสุกรที่ติดเชื้อ รถขนส่งที่มาจับสุกรหน้าเล้า การใช้น้ำจากแหล่งที่มีความเสี่ยง เป็นต้น แต่การป้องกันโรค หรือไบโอซีเคียวริตี้ก็ยากที่จะให้รายย่อยปฏิบัติได้ เพราะ
1.”ไม่รู้” เพราะไม่มีใครมาแนะนำง่ายๆ เช่น รถซื้อหมูคันเดียวจับพร้อมกัน 5 เล้า อาหารสัตว์คันเดียวส่ง 10 ฟาร์มติดต่อกัน ฟาร์มข้างๆ เป็นโรค มีหมูตาย มีฟาร์มอื่นมาช่วยฝัง หรือที่แย่กว่านั้น คือมีการลักลอบเอาหมูตายออกมาขาย ทำให้เชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
2.”ไม่คุ้ม” รู้แต่ไม่อยากทำ เพราะลงทุนสูง อาหารสำเร็จรูปก็ราคาแพง ต้องเสริมด้วยเศษอาหาร เลี้ยง 20-30 ตัว จะให้สร้างโรงสเปรย์ฆ่าเชื้อรถราคาเป็นหมื่นเป็นแสน คงไม่มีใครทำ
3.”ไม่สนใจ” คือ มีศักยภาพที่พอทำได้แต่ไม่ทำ เพราะไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นประโยชน์ ไม่รู้ผลกระทบ เป็นโรคก็เป็น โรคเข้าก็เลิก เพราะหลายๆ ราย ทำเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น
ทางรอดสำหรับรายย่อยหรือหลังบ้าน ไม่ใช่ไปแนะนำให้เขาป้องกันอย่างเดียวจะไม่ได้ผล แต่จะทำอย่างไรไม่ให้คนหรือรถ หรืออะไรก็แล้วแต่เอาเชื้อเข้าไป เป็นการป้องกันระดับพื้นที่ ไล่จากระดับประเทศ ไปจนถึงระดับหมู่บ้าน การป้องกันระดับฟาร์มอาจจะทำยาก แต่การป้องกันระดับพื้นที่จะทำได้ง่ายกว่า เพราะถ้าเกิดโรคแล้ว หยุดได้ไม่แพร่กระจาย โอกาสที่ฟาร์มอื่นๆ จะรอดก็มีมากขึ้น
การจัดการโดยภาพรวม หรือระดับพื้นที่ที่ว่านี้ ได้แก่
1.รู้เร็ว - ต้องรู้ว่าหมูเป็นโรค จากอาการ รอยโรค ขั้นตอนนี้ต้องใช้วิธีอบรมให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนา หรือการเข้าไปหาเกษตรกรที่บ้าน โดยอาสาสมัครในชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ในท้องที่
2.แจ้งไว - แจ้งปศุสัตว์ในพื้นที่เข้ามาตรวจสอบ เกษตรกรอาจไม่แจ้งเอง แต่อาจขอความร่วมมือกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. เป็นต้น เป็นตัวแทนในการรับแจ้งเหตุ
3.รีบทำลาย – ถ้ายืนยันว่าเป็น ASF ต้องทำลายทันที พร้อมกับฟาร์มที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันการติดเชื้อลุกลามจนยากที่จะควบคุม ปกติโรคนี้ถ้าเป็นก็จะไม่รอด ถ้าไม่ทำลายเชื้อก็จะแพร่กระจายไปฟาร์มอื่นเรื่อยๆ
4.งดเคลื่อนย้าย - ฟาร์มที่อยู่ในรัศมีพื้นที่เกิดโรคงดเคลื่อนย้าย เพื่อเฝ้าดูอาการ และตรวจประเมิน จนกว่าจะประกาศยกเลิก
5.จ่ายชดเชย - เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรแจ้งเมื่อมีโรคเกิดขึ้น และเพื่อลดการต่อต้านจากสังคม
แนวทางป้องกันโรคสำหรับฟาร์มรายย่อย/หลังบ้าน สามารถทำได้ 6 ข้อ ได้แก่
1. แยกเล้าหมูออกจากตัวบ้าน
2. ต้มเศษอาหารก่อนนำไปใช้
3. ไม่ให้ใครเข้ามาในเล้า
4. เปลี่ยนรองเท้าและล้างมือ
5. ซื้อหมูเข้าจากแหล่งที่ปลอดภัย
6. ขายหมูให้หมดเป็นรอบๆ
ถ้าทำได้ครบ 6 ข้อ ก็พอป้องกันได้ระดับหนึ่ง เพราะเรื่องน้ำกินน้ำใช้ในฟาร์ม อาหารการกินคนงาน สิ่งของเครื่องใช้ในเล้า สัตว์พาหะ ก็เป็นจุดเสี่ยง แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะปรับเปลี่ยนสำหรับรายย่อย จึงไม่ได้นำมาแนะนำ และในที่นี้จะขออธิบายเฉพาะข้อ 6 เพราะเป็นจุดที่สำคัญและทำได้ค่อนข้างทำยากสำหรับฟาร์มหลังบ้าน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับการนำไปปรับใช้
เริ่มจากการขายหมู ถ้าเกษตรกรยังขายหมูโดยให้พ่อค้ามาจับที่หน้าเล้า ก็ยังเสี่ยงอยู่วันยังค่ำ แก้ไม่ได้ แต่ถ้าขายออกไปจนหมดเล้าพร้อมกัน ความเสี่ยงก็พอลดน้อยลง โอกาสที่โรคจะแพร่เข้าไปในหมูที่เหลือก็ไม่มี รูปแบบนี้ทำได้เฉพาะฟาร์มที่เลี้ยงขุนอย่างเดียว
สำหรับฟาร์มแม่พันธุ์ จะมีความเสี่ยงทั้งการขายลูกหย่า และการขายแม่ปลด ตามหลักแล้วรถต้องผ่านการล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อ พักโรค 8 ชม. ก่อนมารับหมู แต่ก็ติด “ทำไม่ได้” จึงเสี่ยงโดยปริยาย
อีกวิธีคือ เกษตรกรเอารถของตัวเองหรือรถรับจ้างที่ควบคุมได้ ขนหมูไปส่งให้ลูกค้านอกฟาร์ม โดยไม่ให้รถมาจับถึงฟาร์ม รถที่ขนไปส่งก็นำไปล้างอัดฉีดให้สะอาด วิธีนี้ดูดี แต่มีคนบอก “ไม่คุ้ม” เอาไงต่อ?
อีกวิธี ชาวบ้านอาจรวมตัวกัน หรืออาจเป็นงบของสมาคมผู้ประกอบการเลี้ยงสุกรในจังหวัด เป็นต้น จัดตั้งงบ (อีกแล้ว) จัดทำที่ล้าง พ่นยาฆ่าเชื้อรถจับหมู ก่อนเข้าหมู่บ้าน วิธีนี้ก็ป้องกันได้ระดับหนึ่ง เพราะอย่าลืมว่า รถที่ไปมาหลายๆ ฟาร์มหลายๆ โรงฆ่าสัตว์จะเสี่ยงที่สุด
คิดว่าทุกคนทุกฟาร์มก็อยากให้ไทยปลอดโรค แม้ราคาตกไปบ้างแต่ก็จะได้ไม่ต้องเห็นหมูตายหรือถูกทำลายเยอะๆ บริษัทยา บริษัทอาหาร เอเย่นต์ค้าขายต่างๆ ก็จะอยู่รอด การป้องกันระดับชาติ ระดับภาค ระดับจังหวัด ก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ทุกคนก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่มีใครอยากให้ไทยเป็นโรคนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือการเฝ้าระวังในพื้นที่ของตัวเอง ถ้าประเทศเอาไม่อยู่ บางจังหวัดก็ต้องเอาอยู่ ต่อไปก็ควบคุมระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และสุดท้ายก็ถึงฟาร์มของเราเอง ระดับฟาร์มขนาดกลางขึ้นไปก็พอป้องกันได้ แต่ระดับฟาร์มรายเล็ก หรือหลังบ้าน จะต้องใช้การควบคุมระดับพื้นที่เท่านั้นถึงจะป้องกันได้ เช่น อบรมให้ความรู้เรื่องการป้องกันเบื้องต้น ส่งเสริมให้มีการแจ้งกรณีพบหมูป่วย จะได้จัดการได้ถูกวิธี
ถ้าทุกคนช่วยกัน รัฐบาล กรมปศุสัตว์ ผู้ประกอบการ รายใหญ่ รายเล็ก รายย่อย พ่อค้า ขนส่ง โรงฆ่าสัตว์ บริษัทยาสัตว์ ต้องช่วยกันถึงจะรอด คนภายนอกก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. ต้องร่วมมือกันจริงจังถึงจะเรียกว่า “วาระแห่งชาติ” และสุดท้ายคือ “งบประมาณ” เพราะอย่าลืมว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าไม่มีงบในการจัดการป้องกันก็จะล้มเหลว ประชาชนก็เตรียมตัวสำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังไทยประกาศ คือ บริษัท “ตกงาน” ชาวบ้าน “เลิกเลี้ยงหมู” ผู้บริโภค “ชื้อหมูแพง” และส่งผลกระทบไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก
ถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่าง “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้” สำหรับมหันตภัยในครั้งนี้
ขอบคุณ : น.สพ.อดิศักดิ์ สมอ่อน