โดยส่วนใหญ่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์มักนิยมใช้น้ำบาดาล เพราะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้น้ำผิวดิน ซึ่งต้องมีระบบทำน้ำประปาที่เหมาะสมด้วย น้ำบาดาลมักมีค่า pH และความกระด้างสูงกว่าน้ำผิวดิน คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) จึงมีปัญหาหินปูนและชำรุดเสียหายมากกว่าปกติ ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง
การทิ้งน้ำที่ไหลผ่าน คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ไปบางส่วน จะทำให้น้ำในถังพักพร่องลง และเติมน้ำใหม่เข้าไปแทนเรียกวิธีนี้ว่า “การถ่ายน้ำทิ้ง” (Bleed off) น้ำใหม่ก็จะเข้ามาผสมในถังพักน้ำได้มากขึ้น ค่า pH และความเข้มข้นของสารละลายในน้ำก็จะถูกควบคุมได้ดีขึ้น
เราสามารถช่วยลดการสะสมของหินปูนบนกระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การปัดหินปูนที่ก่อตัวอยู่บนกระดาษออกบ่อยๆ เพื่อลดการสะสมของหินปูน จะช่วยทำให้อายุการใช้งานของคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ยาวนานออกไป
การใช้คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) แบบธรรมดาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะหินปูนส่วนที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อกระดาษจะทำให้กระดาษฉีกขาดออกมาด้วยในขณะที่ปัดหินปูนออกไป ดังนั้นจึงควรใช้ คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ชนิดที่เคลือบสารเคมีพิเศษเฉพาะผิวด้านที่รับลม เช่น CeLPad Black+ เพื่อป้องกันการแทรกตัวของหินปูนลงไปในเนื้อกระดาษ
ปัญหาและการแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก “น้ำ”
ปัญหาที่เกิดจากน้ำ
น้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญต่อระบบ Evap อย่างมาก ดังนั้นจึงต้องให้ความสนใจ และดูแลจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อทำให้ระบบ Evap มีประสิทธิภาพสูง และคุ้มค่าในการลงทุน น้ำอาจก่อให้เกิดปัญหาได้หลายประการดังต่อไปนี้
1. การเกิดตะกรันหินปูน (Scale Forming) เกิดจากสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอนเนต ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในน้ำตามธรรมชาติ และเมื่อเกิดเงื่อนไขบางประการขึ้น เช่น เมื่อมีความเข้มข้นมากขึ้น มีสภาพด่างสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น หรือเมื่อความกดดันของน้ำสูงขึ้น จะทำให้สารละลายแคลเซียมไบคาร์บอนเนต เปลี่ยนรูปไปเป็นแคลเซียมคาร์บอนเนต (หินปูน) และตกตะกอน หรือก่อตัวเป็นตะกรันหินปูน ทำให้เกิดปัญหาและความเสียหายขึ้น
2. ปัญหาสภาพด่าง (Alkalinity) น้ำที่มีค่า pH ตั้งแต่ 7.5 ขึ้นไป มักก่อให้เกิดปัญหานี้ และมีความใกล้ชิดกับการเกิดตะกรันหินปูนด้วย น้ำที่มีสภาพด่างสูง จะทำลายสาร Resin และ Lignin ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อกระดาษ ทำให้เยื่อกระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) เปื่อยยุ่ย และผุพัง เร็วกว่าที่ควร
3. การเกิดการกัดกร่อน (Corrosion) เป็นปฏิกิริยาทางเคมีไฟฟ้า (Electrochemical Reaction) ที่เกิดขึ้นกับโลหะที่สัมผัสอยู่กับน้ำ และก๊าซออกซิเจนเข้าทำปฏิกิริยาซ้ำ (Oxidation Reaction) ทำให้โลหะถูกกัดกร่อน และเป็นสนิม ส่วนเยื่อกระดาษจะถูกทำลายจากผลของ Oxidation
4. การเกิดเชื้อรา และตะไคร่น้ำ (Biological Growth) เกิดจากจุลชีพ ที่มีอยู่แล้วในน้ำตามธรรมชาติ เมื่ออุณหภูมิ และความชื้นเหมาะสม จุลชีพเหล่านี้จะเจริญเติบโตขึ้น เยื่อกระดาษเป็นสาร Cellulose ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ดีชนิดหนึ่งของจุลชีพ เพียงเวลาไม่กี่วันมันจะแข็งแรง และใช้เยื่อกระดาษเป็นอาหาร ดังนั้น กระดาษ cooling Pad จะถูกทำลาย และเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
การแก้ปัญหาที่เกิดจากน้ำ พอจะสรุปได้ 2 ประการ ดังนี้
1. ปัญหาทางด้านเคมี ควรตรวจคุณภาพน้ำ เพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริง และแก้ไขอย่างถูกต้อง สภาพน้ำส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำบาดาล มักมีสภาพเป็นด่าง และก่อให้เกิดปัญหาหินปูน การถ่ายน้ำทิ้ง จะควบคุมความเข้มข้นของสารละลาย และค่า pH ของน้ำได้ดี น้ำที่มีค่า pH สูงกว่า 8 จะเป็นน้ำกระด้างถาวร ไม่แนะนำให้ใช้ในระบบ Evap เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบ และทำให้กระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) มีอายุการใช้งานสั้นลงมาก โดยทั่วไปไม่นิยมบำบัดน้ำแก้ความกระด้างเพื่อนำมาใช้กับระบบ Evap เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มค่าในการใช้งาน ดังนั้น ควรหาแหล่งน้ำอื่นมาใช้แทน เช่น น้ำผิวดิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าความกระด้างต่ำกว่าน้ำบาดาล แต่ต้องมีการจัดการ หรือบำบัดเพื่อทำน้ำประปาอย่างถูกต้อง จึงจะได้ผลดี
2. ปัญหาทางด้านจุลชีพ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้แสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง แก้ปัญหาง่ายๆ โดยการปกปิดถังพักน้ำ และระบบท่อน้ำ ไม่ให้แสงสว่างส่องเข้าไปถึง จุลชีพในกลุ่มนี้จะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ กลุ่มที่ไม่ใช้แสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง ให้ล้างทำความสะอาดถังพักน้ำทุกสัปดาห์ การใช้สารเคมีเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำ ต้องใช้ความระมัดระวัง อย่าใช้สารประเภทที่เป็น Oxidizing Agent หรือสารที่มีฤทธิ์ เป็นกรด หรือด่าง เพราะจะทำให้กระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) เสียหายได้ และควรควบคุมน้ำที่ไหลผ่านคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ให้มีโอกาสแห้งสนิทไม่น้อยกว่า 2 – 3 ชั่วโมง ในทุกๆ รอบ 24 ชั่วโมง เพื่อตัดวงจรการเจริญเติบโตของจุลชีพ
การดูแลและบำรุงรักษาคูลลิ่งแพด (Cooling Pad)
1. น้ำที่ไหลผ่าน Cooling Pad ควรมีค่า pH 6 – 8 และความกระด้างไม่เกิน 100-150 ppm as CaCO3 ในกรณีที่น้ำมีความกระด้างสูงกว่า 300 ppm as CaCO3 ควรมีการบำบัดน้ำก่อนใช้ หรือจัดหาน้ำใช้จากแหล่งอื่น
2. ควรทำการถ่ายน้ำทิ้ง (Bleed–off) อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมีความเข้มข้นของสารละลายในน้ำสูงเกินไป จนทำให้เกิดตะกรันหินปูน และมีสภาพด่าง (Alkalinity) สูง ซึ่งอาจทำให้เยื้อกระดาษเสียหาย และมีอายุการใช้งานสั้นลง
3. ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้อ หรือสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็น Oxidizing Agent เพราะสารเหล่านี้สามารถทำลายเยื่อกระดาษได้ เช่น สารประกอบคลอรีน และสารประกอบเปอร์ออกไซด์ แต่ถ้าจำเป็นให้ใช้ได้ในอัตราไม่เกิน 1 – 2 ppm และไม่ควรใช้สารเคมีที่ทำให้ ค่า pH ของ น้ำเปลี่ยนแปลงไป ต่ำกว่า 6 หรือสูงกว่า 8
4. ห้ามใช้สารประกอบทองแดง (Copper Compound) เช่น จุลสีในการกำจัด เชื้อรา ตะไคร่น้ำ หรือสาหร่าย เพราะสารในกลุ่มนี้สามารถทำลายเยื่อกระดาษ และโลหะพวกเหล็กสแตนเลส และอลูมิเนียมได้
5. ควรใช้มุ้งไนลอน หรือสแลน ป้องกันคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) จากแมลง เศษไม้ ใบหญ้า หรือดอกหญ้า โดยคลุมที่หน้าคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ให้ห่างประมาณ 1 เมตร
6. ล้าง ทำความสะอาดคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) เป็นประจำ และควรปิดน้ำแล้วปล่อยให้คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) แห้งสนิท ไม่น้อยกว่า 2 – 3 ชั่วโมง ทุกวัน (ในรอบ 24 ชั่วโมง) เพื่อตัดวงจรของสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา สาหร่าย
7. ล้างทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค ในถังพักน้ำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
8. ควรปิดถังน้ำ และท่อน้ำ ไม่ให้แสงแดดส่องผ่านไปถึงน้ำได้ เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของ สาหร่าย และตะไคร่น้ำ
9. ระวังอย่าให้คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) สัมผัสกับ อาหารสัตว์ ปุ๋ย มูลสัตว์ ผงซักฟอก สารประกอบฟอสเฟต หรือสารอินทรีต่างๆ ถ้ามีการสัมผัสกับสารเหล่านี้ ควรรีบล้างออกให้หมด เพราะอาจเป็นเหตุให้เกิด เชื้อรา และแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เยื่อกระดาษ เน่า เปื่อย และถ้าพบว่ามีเยื่อกระดาษเน่าเปื่อย ให้รีบตัดส่วนที่เน่าทิ้ง เพื่อป้องกันการลุกลามต่อไป
10. ไม่ควรเก็บอาหารสัตว์ และไข่ ไว้ใกล้เยื่อกระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) เพราะจะเป็นตัวชักนำให้หนูเข้ามากัดทำลายกระดาษคูลลิ่งแพด (Cooling Pad) เพื่อเข้ามาหาอาหารกินในโรงเรือน
ขอขอบคุณ / คุณศิขัณฑ์ พงษพิพัฒน์