ผู้เลี้ยงสุกรทั่วไทยรวมตัวหน้าทำเนียบร้องตรงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จริงจังปราบขบวนการทุจริตหมูลักลอบนำเข้า และแก้โครงสร้างต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงเกินจริง ที่ทั้งสองปัญหากำลังทำลายอุตสาหกรรมสุกรไทยอย่างหนัก
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ นำกองทัพชาวหมูกว่า 2,000 คน จากทั่วประเทศจี้ตรงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา ผู้เลี้ยงสุกรมีการพบเห็นสินค้าเนื้อสุกรที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศกระจายอยู่ในท้องตลาด มีการประชาสัมพันธ์ทำการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างเปิดเผย เป็นระยะเวลาตลอดทั้งปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่เป็นที่ทราบดีว่าระดับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังไม่มีการอนุญาตนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้แถลงข่าว และยื่นข้อเรียกร้องต่อกรมปศุสัตว์หลายครั้งในรอบปี 2565 ในฐานะที่กำกับดูแลการเลี้ยงสุกรของประเทศ ในประเด็นจี้ภาครัฐเร่งปราบปรามหมูนำเข้าผิดกฎหมาย แต่ประเด็นการร่วมกระทำความผิดมีความซับซ้อน
มีการตั้งข้อสงสัยที่เป็นไปได้สูงของการร่วมกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ จากเบาะแสที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ภายในกรมศุลกากรว่ามีการใช้ช่องทางผ่อนคลายของหลักเกณฑ์ในระดับประกาศกรมที่ออกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ประกอบด้วย ประกาศกรมศุลกากร ที่ 174/2560 เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการตรวจของที่กำลังผ่านพิธีการ หรือ อยู่ในอำนาจกำกับตรวจตราของศุลกากร” ที่มีการให้อำนาจพนักงานศุลกากรตรวจของที่กำลังผ่านพิธีการในลักษณะไม่ต้องตรวจสอบประเภทพิกัด อัตราศุลกากร ราคา และชนิดของ ในลักษณะของการผ่านแบบ Green Line
อีกกรณีที่สร้างปัญหาให้ต้นทุนการผลิตสุกรอย่างมาก ได้แก่ ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงเกินควร
– กลุ่มพืชพลังงานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาเกษตรกรขายได้ มีส่วนต่างราคาหน้าโรงงานอาหารสัตว์ถึง 5-4.0 บาทต่อกิโลกรัม
– กลุ่มพืชโปรตีนกากถั่วเหลืองเม็ดนำเข้ามีส่วนต่างราคากากถั่วเหลืองนำเข้าถึง 0-7.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งๆ ที่ปกติจะอยู่ในระดับเดียวกับราคากากถั่วเหลืองนำเข้า เนื่องจากเป็นสินค้าผลพลอยได้การจากสกัดน้ำมันถั่วเหลือง เพราะการนำเข้าเม็ดถั่วเหลืองรัฐบาลไม่มีการจัดเก็บอากรขาเข้า (อากรขาเข้า 0%) ในขณะที่การนำเข้ากากถั่วเหลืองของภาคปศุสัตว์ต้องเสียอากรขาเข้า 2%
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติมีการหารือกับกรมการค้าภายใน ร่วมกับกลุ่มห้างค้าส่ง ค้าปลีก ในการแก้ปัญหาราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มตกต่ำ มีการขอให้ห้างค้าปลีกช่วยคงราคาจำหน่ายปลีก ไม่ให้ลงราคาต่อเพราะเกษตรกรผู้เลี้ยงกำลังขาดทุนเฉลี่ย 2,000-3,000 บาทต่อตัว ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ ตามที่หารือในที่ประชุม ในขณะที่การขอให้แก้ราคาที่สูงเกินควรของวัตถุดิบอาหารสัตว์ อธิบดีบอกเพียงแค่เป็นเรื่องเก่า แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏการจริงจังกับการลดส่วนต่างของราคาพืชอาหารสัตว์ทั้งสองกลุ่มแต่ประการใด
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ จึงรวมตัวยื่นข้อเรียกร้องในครั้งนี้ดังนี้
1. เร่งปราบปรามกระบวนการหมูเถื่อน ที่ต้องสงสัยว่ามีการทุจริต สมคบคิดนำเข้าสินค้าเนื้อสุกรอย่างไม่ถูกกฎหมายที่สร้างปัญหาให้อุตสาหกรรมสุกรไทยในขณะนี้ ของผู้นำเข้าเอกชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่คาดว่ามีจำนวนเกี่ยวข้องหลายส่วนราชการ อย่างเร่งด่วน
2. เร่งแก้ปัญหาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้ง 3 ประการ ประกอบด้วย
– แก้ไขราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หน้าโรงงานอาหารสัตว์ และ ราคากากถั่วเหลืองเม็ดนำเข้า ที่มีราคาสูงเกินจริง
– ยกเลิกอากรขาเข้ากากถั่วเหลือง จาก 2% เป็น 0% เพื่อความเสมอภาค
– ยกเลิกระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้นำเข้าข้าวสาลีเข้ามาในราชอาณาจักรฉบับที่ 3 พ.ศ 2565
นายสุรชัย สุทธิธรรม ได้กล่าวว่า “ตั้งแต่เป็นนายกสมาคมหมูมา ก็มีครั้งนี้แหละที่ชาวหมูสาหัสมาก เพิ่งฟื้นตัวจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ทำให้ปริมาณผลผลิตสุกรของประเทศลดลง ในขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงสุกรของไทยในปัจจุบันถือว่าสูงที่สุดในโลก จึงเกิดขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนที่มีราคาเนื้อสุกรที่ชำแหละแล้วเพียงกิโลกรัมละ 50 บาท มาจำหน่าย ทั้งปี 2565 เราเรียกร้องมาหลายครั้ง จนสืบทราบว่าขบวนการนี้ซับซ้อนมาก กรมปศุสัตว์ก็ทำอะไรไม่ได้มาก จึงต้องพากันมาเรียกร้องในวันนี้”
นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี ได้ให้ข้อมูลการแก้ปัญหาหมูลักลอบว่า “หลังจากเริ่มประสานงานกรมศุลกากรที่เป็นด่านแรกของการปล่อยผ่านสินค้าเหล่านี้เข้าประเทศกลับมืดมนมาขึ้น เพราะได้รับการรายงานแต่ระบบที่ดี ระบบที่รัดกุม แต่มีหมูลักลอบทั่วราชอาณาจักร เราจึงต้องนำสู่กระบวนการตรวจสอบความผิดต่อหน้าที่ราชการของหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งระบบราชการมาร่วมตรวจสอบ จึงต้องมาร่วมยื่นผ่านท่านนายกรัฐมนตรี”
นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่มให้ความสำคัญกับต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพราะปัจจุบันราคาตลาดโลกลงมาระดับเดียวกัน “ผู้เลี้ยงสุกรจับตาความเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เห็นความผิดปกติของส่วนต่างราคาพืชอาหารสัตว์ทั้งกลุ่มพลังงาน ได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกลุ่มโปรตีนได้แก่กากถั่วเหลือง ที่ราคาในประเทศขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาตลาดโลกย่อตัวลงมานานแล้ว ถ้าเรายังไม่แก้ปัญหาต้นทุนภาคปศุสัตว์ ความยั่งยืนของวงการปศุสัตว์ไทยไม่ยั่งยืนแน่นอน ฟาร์มขนาดใหญ่เข้าสู่มาตรฐานฟาร์มภาคบังคับไปแล้ว ฟาร์มขนาดกลางจะเริ่มบังคับใช้สิงหาคมนี้ ดังนั้นปัญหาสองเรื่องนี้ถือว่าเร่งด่วนที่สุด”
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ข้อมูลว่า “ตั้งแต่เลี้ยงหมูมาก็เพิ่งประสบกับต้นทุนการเลี้ยงสุกรที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต่างราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ กับ ราคาหน้าไซโลอาหารสัตว์ไม่ควรบวกเกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม เห็นความผิดปกติราคาข้าวโพดเม็ดที่ 13-14 บาทต่อกิโลกรัม มองไม่เห็นอนาคตรายย่อยเลย แต่ก็ต้องขอบคุณกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยจากร้อยเอ็ดที่ต่อสู้เรื่องหมูลักลอบมาตลอด หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งที่ 2 ของกลุ่มนี้ ทำให้เราสะกดลอยหมูเถื่อนมาถึงแหลมฉบัง ก็ต้องมาพิสูจน์กันว่า การรวมตัวครั้งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีจะสั่งการอะไรที่เป็นรูปธรรมออกมาบ้าง บอกตรงๆ ว่าคนเลี้ยงหมูไทยใกล้จะหมดที่พึ่งแล้ว”
นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ ที่เคยได้รับเชิญจากนายด่านศุลกากรสงขลา ให้เข้าพบหารือและเข้าศึกษาดูงานกระบวนการตรวจสอบสินค้าของด่านศุลกากรสงขลา ณ ท่าเรือน้ำลึกสงขลา “ระบบการผ่านพิธีการและการตรวจปล่อยในปัจจุบันของกรมศุลกากรไม่มีข้อสงสัยในการหลุดรอด แต่ปัญหาอยู่ที่การไม่ซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ภาคใต้ก็ได้รับผลกระทบกับ “หมูกล่อง” หรือหมูลักลอบไม่น้อยไปกว่าภาคอื่นๆ ถึงแม้ภาคใต้จะมีผลผลิตเกินกว่าความต้องการบริโภค แต่ด้วยราคาหมูลักลอบมีต้นทุนการนำเข้าที่ต่ำมาก จึงสามารถเข้าแทรกตลาดภายในประเทศได้ทุกที่ คนเลี้ยงหมูขาดทุนมากว่า 3 เดือน อย่างมากรายย่อยเพียงแค่หยุดเลี้ยง เงินลงทุนไม่มาก พร้อมที่จะกลับมาใหม่ได้เสมอ แต่ตอนนี้รายกลางจะลำบากที่สุด ปัญหากระแสเงินสดจะยิ่งหนักขึ้นถ้าสถานการณ์ของสองปัญหานี้ยังไม่มีทางออก”
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เป็นพื้นที่ที่เสียหายจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรมากที่สุด “ภาคเหนือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายต้นๆ ของการมาทำตลาดของหมูเถื่อนในระดับภูมิภาค เนื่องจากภาคเหนือมีฟาร์มรายย่อยจำนวนมากที่ยังไม่ฟื้นตัวและกลับมาเลี้ยงใหม่ หมูเคลื่อนย้ายจากภูมิภาคอื่นกับการเข้ามาของหมูกล่องในพื้นที่ แทบแยกไม่ออก หลังจากเราพบความผิดปกติของการสำแดงเท็จต่างๆ ถึงแม้ภาคเหนือจะนำเข้ากลุ่มเครื่องในสุกรที่ถูกกฎหมายมากในกลุ่มหนังหมูที่มาทำแคบหมู แต่ในช่วงนี้คงต้องขอให้กรมปศุสัตว์ทบทวนการนำเข้าเครื่องในด้วย จากปัญหาการสวมพิกัดศุลกากรของสินค้าเนื้อสุกรลักลอบ”
นอกจากนั้นกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างจริงจังกับผู้นำเข้าที่เป็นเจ้าของสินค้าสุกรลักลอบที่มีตู้เย็นคอนเทนเนอร์ตกค้างถึง 161 ตู้ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับท่าอื่นๆ พร้อมสืบค้นข้อมูลย้อนหลังของผู้นำเข้าที่มีประวัดิการกระทำความผิด
โดยในที่ประชุมระหว่างกรมศุลกากรและตัวแทนผู้เลี้ยงสุกร ได้ข้อสรุปว่า
1. ตู้เย็นคอนเทนเนอร์ตกค้าง 161 ตู้ ทางกรมศุลกากรจะเป็นผู้ประสานงานและดำเนินการทำลายโดยมีการทำงานร่วมกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
2. เรื่องความโปร่งใสอธิบดีกรมศุลกากร แจ้งว่า สบายใจได้ เรื่องจะไม่จบที่กรมฯ จะต้องจบที่สำนักงานสอบสวนกลาง
3. การดำเนินการนำเข้าสินค้าแช่เย็นในอนาคตจะต้องมีกระบวนการดำเนินการตาม (SOP) เอสโอพี standard operation procedures ใหม่ และมีการรายงานข้อมูลเชิงสถิติในเว็บไซต์ของกรมศุลกากร เพื่อตรวจสอบได้ แบบอัพเดท
4. ตั้งตัวแทนประสานงานร่วมกันทั้งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมการค้าภายใน และสำนักงานตำรวจ มีเบอร์ติดต่อกันโดยตรงในการประสานงานแบบฉับพลันและต่อเนื่อง
5. Frozen Food ต่อจากนี้ไปจะต้องผ่านระบบ Red Line เท่านั้น ไม่ผ่านระบบ Green Line เพื่อลดโอกาสที่จะหลุดลอดหรือทุจริตได้
6. การประสานงานต่อจากนี้ เรื่องนี้ ยกขึ้นเป็นในระดับกรมต่อกรมโดยตรง โดยคณะทำงานชุดนี้ ไม่ใช่ระดับด่านหรือระดับจังหวัดเหมือนที่ผ่านมา
8. ตู้ทุกตู้ที่อายัดไว้สามารถดำเนินการตรวจสอบได้โดยคณะกรรมการสมาคมร่วมกับกรมศุลกากรส่วนกลาง
9. รายชื่อผู้นำเข้ายังไม่สามารถเปิดเผยได้โดยในระดับกรม (ทางกฏหมาย) แต่กรมศุลกากรจะส่งเรื่องไปที่สอบสวนกลาง เพื่อสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ อยู่ในอำนาจของตำรวจ