ในช่วงนี้การชูนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรค อยู่ในความสนใจของประชาชนและผู้คนทุกสาขาอาชีพ “เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู” หนึ่งในรากฐานสำคัญ และเป็นผู้ผลิตอาหารของประเทศ ที่มีอยู่มากกว่าล้านครอบครัวหรือราว 4-5 ล้านคน เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ และวาดภาพพรรคการเมืองในฝันตลอดจนรัฐบาลที่อยากได้ไว้ค่อนข้างชัดเจน นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฉายมุมมองเหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจ หากพรรคใดจะยกขึ้นเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง เชื่อว่าคงเรียกคะแนนจากคนกลุ่มนี้ได้ไม่น้อย
“ในฐานะประชาชนทั่วไปผมอยากเห็นนโยบายต่างๆที่ชูออกมานั้นสามารถปฏิบัติได้จริง และในฐานะเกษตรกรก็อยากเห็นพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับเกษตรกร มีนโยบายเด่นชัด และมีการวางแผนสนับสนุนเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม”
เนื่องจากที่ผ่านมานักการเมืองไทยจะให้ความสนใจเรื่องพืชไร่ ข้าวโพด ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง แต่กับภาคปศุสัตว์ ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่บอบช้ำจากปัญหา ASF ให้สามารถกลับมาเลี้ยงใหม่ให้ได้ แม้คนเลี้ยงหมูทั่วประเทศจะดูแลตัวเองมาตลอด แต่นโยบายใหม่ต้องต่อยอดให้เกษตรกรมีรายได้ที่มีเสถียรภาพ ไม่ต้องหวั่นเกรงกับความผันผวนในอาชีพ ภายใต้นโยบายที่ชัดเจน จะทำให้เกษตรกรยืนได้ด้วยขาตนเองอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายกหมูอีสาน กล่าวอีกว่าส่วนใหญ่ภาครัฐจะแก้ปัญหาแบบระยะสั้น เช่น ประเทศไทยเลี้ยงสัตว์เยอะ แต่ข้าวโพดไม่พอใช้ รัฐกลับกำหนดราคาขั้นต่ำของข้าวโพดเพื่อให้ผลตอบแทนสูงแก่ผู้ค้าพืชไร่ ทั้งที่จริงๆแล้ว ควรส่งเสริมให้มีผลผลิตต่อไร่มากขึ้นจะดีกว่า ทุกวันนี้การที่วัตถุดิบในประเทศมีราคาแพงกว่านำเข้า สะท้อนถึงการแก้ที่ไม่ถูกจุด แทนที่จะส่งเสริมให้การปลูกมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้มีผลผลิตได้อีกเท่าตัว แต่กลับไม่ส่งเสริม พอใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวก็มาตั้งราคาประกัน ก่อปัญหาเป็นลูกโซ่ไปถึงภาคปศุสัตว์ กระทบเศรษฐกิจชาติกันไปอีก
“เกษตรกรอยากได้พรรคที่เข้าใจและรู้จริงถึงการวางรากฐานที่ยั่งยืนในระยะยาว ไม่ใช่เอาแต่ประชานิยมแจกงบ-แจกเงิน แต่ต้องสร้างอาชีพ ต้องส่งเสริมให้เกษตรกรเดินเองได้ ไม่ต้องหวังพึ่งพารัฐ หน้าที่รัฐคือต้องให้คำแนะนำ ช่วยเหลือสนับสนุน และผลักดันการขายเนื้อสัตว์ไปในตลาดโลก”
อย่างไรก็ตาม บางครั้งนโยบายก็ออกมาใช้ได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะพรรคนั้นๆไม่ได้รับเลือก บางโครงการดีๆที่เป็นของเก่าก็เดินต่อไปไม่ได้เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล ดังนั้น เหนืออื่นใดคือการเมืองไทยควรมีเสถียรภาพที่ดีกว่านี้
สำหรับปัญหาที่หมักหมมและยังแก้ไม่ได้ของคนเลี้ยงหมูก็คือ “ASF” รัฐจำเป็นต้องวางระบบป้องกันโรค โดยทุ่มเทให้เต็มที่กับการวิจัยพัฒนาวัคซีนที่กรมปศุสัตว์กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อปกป้องเกษตรกร ทุกวันนี้บางพื้นที่ที่ประสบ ASF เกษตรกรยังไม่กล้ากลับมาลงหมูเข้าเลี้ยง เพราะเราหนักไปกับการทำลายทิ้งเท่านั้น ยังขาดการพัฒนาที่จริงจัง
อีกประเด็นสำคัญที่นายสิทธิพันธ์ฝากถึงทุกพรรคการเมืองก็คือ “ปัญหาหมูเถื่อน” ที่เยอะจนไม่รู้จะพูดอะไรเพิ่มแล้ว ล่าสุด ตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่แหลมฉบังที่เดียวเปิดไปแล้ว 100 ตู้ พบเป็นหมูเถื่อน 57 ตู้ รวมจำนวนกว่า 1 ล้านกิโลกรัม ถ้าเปิดครบ 331 ตู้จะพบจำนวนมากมายขนาดไหน เรียกได้ว่าหมูเถื่อนนี่ล่ะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หมูไทยราคายังคงร่วงต่อเนื่อง ซึ่งรัฐต้องเร่งแก้ปัญหานี้โดยด่วน
“เชื่อว่าผู้บงการนำเข้าหมูเถื่อนเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากจริงๆ จึงทำให้ปราบไม่หมดเสียที หากพรรคการเมืองใดชูนโยบายปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ก็อยากให้ฟันธงลงมาตรงๆว่าจะปราบหมูเถื่อนให้สิ้น ผมและคนเลี้ยงหมูทั่วประเทศจะเทคะแนนให้ทันที”
นี่จึงเป็นกรณีศึกษาให้พรรคการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ ได้เรียนรู้ที่จะวางนโยบายอย่างเหมาะสมและให้ความสำคัญกับห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศตั้งแต่ฐานรากหรือต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ รวมถึงมีความกล้าหาญที่จะปราบ “หมูเถื่อน” เพื่อรักษาเสถียรภาพอาชีพเกษตรกร และเพื่อคนไทยทั้งประเทศได้ปลอดภัยจากหมูไร้คุณภาพด้วยแล้ว เชื่อเถอะคะแนนเสียงจะไหลมาเทมาจนนับไม่ทัน.