บริษัท สตาร์ ฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ “SFG” ผู้ผลิตชิ้นส่วนไก่เนื้อและไก่สดแช่แข็งรายใหญ่ ราชบุรี ก่อตั้งโดย ร.ต.ศักดิ์ดา มณีพรรณ์ เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยแบรนด์และตลาดที่แข็งแกร่ง ก้าวเข้าสู่ธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร ทั้งอุตสาหกรรมสัตว์ปีก สุกร และอาหารสัตว์ โตทั้งในและอาเซียน ภายในปี 65 ล่าสุดดึง น.สพ.ไชยศักดิ์ รุจธนทรัพย์ ผู้คร่ำหวอดวงการปศุสัตว์ไทยมานานกว่า 40 ปี กุมบังเหียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ดูแลกลยุทธ์ ทิศทาง และผลประกอบการ
คุณหมอไชยศักดิ์ เปิดเผยแผนงานและทิศทางของสตาร์ ฟู้ดส์ฯ ในปี 64 ว่าบริษัท สตาร์ ฟู้ดส์ อาหารสัตว์ จำกัด หรือ SFM โรงงานผลิตอาหารสัตว์จะเสร็จสมบูรณ์และสามารถผลิตได้ประมาณกลางปี 64 งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50,000 ตัน/เดือน สามารถผลิตใช้เอง และจำหน่าย ปัจจุบันสตาร์ ฟู้ดส์ฯ เลี้ยงไก่เนื้อจำนวน 800,0000 ตัว และจากฟาร์มคอนแทรคอีกประมาณ 6 ล้านตัว มองว่าโรงงานชำแหละมีอัตราการผลิตที่ 90,000-100,000 ตัว/วัน ซึ่งไม่สามารถขยายหรือเพิ่มจำนวนได้แล้ว
ดังนั้นแผนงานในปลายปี 63 นี้ ทางบริษัทฯ จะสร้างโรงงานผลิต และแปรรูปเนื้อไก่สด เนื้อไก่แช่แข็ง เพื่อการส่งออก อัตราผลิตที่ 100,000 ตัว/วัน เนื่องจากมองว่าตลาดอาเซียนยังมีความต้องการสูง และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 15 เดือน นับจากการตอกเสาเข็ม ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 65 ด้วยงบประมาณกว่า 450 ล้านบาท
นอกจากธุรกิจด้านไก่เนื้อแล้ว สตาร์ ฟู้ดส์ฯ ยังมองหาโอกาสและเส้นทางใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้น เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเล็งเห็นตลาดในภาพรวมมีความต้องการเนื้อสุกรมากขึ้น ด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ทำให้หลายประเทศในแถบอาเซียนขาดแคลนเนื้อสุกร ซึ่งคาดการณ์ว่าสถานการณ์นี้จะอีกนาน จึงมองเป็นโอกาส
และมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตสุกร ทั้งในด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆไม่แพ้ประเทศอื่น จึงมองว่าอนาคตสุกรไทยจะมีการส่งออกมากขึ้น ตลอดจนมาตรฐานการเลี้ยงและการผลิตสุกรก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และในปี 64 นี้ สตาร์ ฟู้ดส์ฯ จะขยายธุรกิจสุกร โดยสร้างโรงงานชำแหละสุกรมาตรฐาน เพื่อการส่งออกขึ้น มีอัตราการผลิตที่ 2,000 ตัว/วัน ซึ่งในช่วงแรกนั้นอาจจะรับจ้างผลิตก่อน ขณะเดียวกันก็จะสร้างฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ (PS) ขนาด 20,000 แม่ เพื่อผลิตลูกสุกรขุน พร้อมเปิดรับฟาร์มลูกเล้าในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยรับซื้อผลผลิตคืนจากเกษตรกร
อนาคตธุรกิจไก่เนื้อและสุกรของสตาร์ ฟู้ดส์ฯ จะอยู่ในสัดส่วน 50:50 เนื่องจากมองว่าธุรกิจไก่เนื้อได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุด เพราะการเลี้ยงไก่เนื้อในไทยมีการพัฒนาการเลี้ยงมาหลายสิบปี ตั้งแต่การเลี้ยงแบบชาวบ้านจนถึงขั้นพัฒนามาเลี้ยงในโรงเรือนอีแวปที่ใช้เทคโนโลยีในการเลี้ยง อีกทั้งเรื่องของตลาดที่ไม่ได้แข่งขันกันในประเทศเท่านั้น แต่เป็นการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งผู้ซื้อหลายรายในต่างประเทศบางรายได้ผันตัวเองมาเป็นผู้ผลิตมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนและลดความเสี่ยงต่างๆในธุรกิจ จึงมองว่าเป็นธุรกิจของบริษัทใหญ่ที่มีพื้นที่ตรงนั้นอยู่แล้ว ส่วนธุรกิจสุกรนั้นตลาดยังมีพื้นที่และมีความต้องการสูง จึงมองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้
“อยากเห็นความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อน แล้วอยากทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งการทำธุรกิจคนเดียวไม่สามารถดูแลควบคุมทุกอย่างทั้งหมดได้ ซึ่งแผนงานในอนาคตเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเป็นงานใหญ่ ดังนั้นคู่คิด คู่นำ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อทัพหน้าพร้อมเดิน ก็ต้องมีทัพหลังคอยเสริม ดูแลเรื่องคน และระบบภายในองค์กรให้แข็งแรง” คุณหมอไชยศักดิ์ กล่าว