ตั้งแต่วันนี้จนถึง 7 พฤษภาคม 2566 (วันเลือกตั้ง ตามที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนด) เป็นเวลาสำคัญของพรรคการเมืองทุกพรรค ที่ต้องสู้ศึกหาเสียงช่วงชิงคะแนนนิยมจากคนไทยทั้งประเทศ ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจบริหารประเทศไทยในวาระ 4 ปีข้างหน้า แต่สำหรับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรอาจจะเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุด ที่เกษตรกรอาจจะต้องตัดสินใจเลิกอาชีพเลี้ยงหมูก่อนจะได้รัฐบาลชุดใหม่ เพราะทนแบกภาระขาดทุนสะสมไม่ไหวจากโรคระบาด ASF ที่บุกไทยตั้งแต่ปลายปี 2564 ทั้งยังโดนซ้ำเติมด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2565 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นอีก 30% และยังคงอยู่ในระดับสูงถึงปัจจุบัน
สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ช่วงเวลาการหาเสียงเลือกตั้ง คือ ช่วง “สุญญากาศ” ของการจับกุมหมูเถื่อนการปฏิบัติงานทุกภาคส่วนจะอืดอาดไปจนถึงหยุดนิ่งได้ เพราะพรรคการเมืองน้อย-ใหญ่จะเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อขายฝันนโยบาย “ประชานิยม” แต่ทำได้จริงหรือไม่ ให้ติดตามผลหลังการเลือกตั้ง ผู้เลี้ยงหมูจึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ในการเลือกตั้งสมัยนี้ ความใส่ใจที่จะกำจัดหมูเถื่อนให้ราบคาบ จึงไม่ได้รับการตอบสนองให้ทัดเทียมกับความเดือนร้อนจากราคาที่ร่วงอย่างหนัก จากหมูหน้าฟาร์มที่ราคา 110-115 บาทต่อกิโลกรัม และยืนราคา 100 บาทต่อกิโลกรัม ตลอดปี 2565 เหลือ 70-80 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน เทียบกับต้นทุนที่ประเมินไว้ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 101.07 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรพูดได้แค่ “ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ต้องเลิกไป”
พรรคการเมืองที่มีวิสัยทัศน์และเข้าใจวลี “น้อยแต่มาก” เป็นอย่างดี ควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ประกาศนโยบายปราบปรามหมูเถื่อนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด “จับให้เจ๊ง” ตามแนวทางของกรมปศุสัตว์ ให้เป็นกรณีตัวอย่างสร้างผลงานให้ตรึงตาตรึงใจผู้เลี้ยงหมูที่มีอยู่หลัก 100,000 คนทั่วประเทศ ยังครอบครัวพวกเขาอีกรวมแล้วมากกว่า 200,000-300,000 เสียง แน่นอน หากทำได้…ก็กวาดคะแนนเสียงส่วนนี้ไป
ในความเป็นจริง การปราบปรามหมูเถื่อนของภาครัฐ 1 ปีทีผ่านมา ภาครัฐผนึกกำลังกันหลายหน่วยงานนับรวมได้ประมาณ 30 กว่าครั้ง ได้หมูล้านกว่ากิโลกรัม ซึ่งประเมินว่า เป็นปริมาณเพียง 5% ของหมูเถื่อนทั้งหมดเท่านั้น หมูเถื่อนปราบไม่หมด อาจโดนบดบังด้วย “อำนาจที่มองไม่เห็น” ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าหมูเถื่อนจะไปออกพื้นที่ไหนของไทย ซึ่งปัจจุบันมาตามชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สงขลา สระแก้ว มุกดาหาร เป็นต้น
ที่สำคัญอำนาจรัฐต้องสะสาง “อำนาจที่มองไม่เห็น” ตลอดจน “มาเฟีย” ที่แฝงกายอยู่ในห่วงโซ่การปฏิบัติงาน ทั้งกระบวนการของภาครัฐ บริษัทนำเข้า บริษัทชิปปิ้ง บริษัทขนส่ง ห้องเย็น และเครือข่ายพ่อค้า ที่รับของเถื่อนไปกระจายต่อ ต้องจัดการขั้นเด็ดขาดทุกกลุ่ม เปิดหน้าผู้กระทำผิดตัวจริงมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ใช่จับแล้วปล่อย..แค่เขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้น
เหนืออื่นใด พรรคการเมืองที่เถลิงอำนาจอยู่ในกระทรวงต่างๆ ขณะนี้ ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของคนไทยด้วยความโปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ ขจัดอุปสรรคในการประกอบสัมมาอาชีพและดำเนินชีวิตให้หมดไปโดยเร็ว อย่าปล่อยให้เกษตรกรตกทุกข์ได้ยากตามลำพังจากปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนไทยและฟื้นฟูผลผลิตให้เพียงต่อความต้องการ หลังผลผลิตเสียหายหนักจากโรคระบาด ASF เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงอาหารอย่างทั่วถึงในราคาที่เหมาะสม ให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม ไม่ใช่โดนกดราคาจากหมูผิดกฎหมายที่ลักลอบนำเข้า หาไม่อนาคตไทยคงต้องเป็นประเทศผู้นำเข้าเนื้อหมูอย่างสมบูรณ์.
สมิง วงศ์รามัญ ที่ปรึกษาด้านปศุสัตว์