อ.ส.ค.จับมือสอวช. แถลงข่าวความก้าวหน้าโครงการวิจัย “การศึกษารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการจัดการของเสียในฟาร์มโคนมและการพัฒนาที่ยั่งยืน” พร้อมเดินหน้าต่อยอดสร้างต้นแบบการจัดการมลภาวะอย่างยั่งยืนในฟาร์มโคนมของชุมชน มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมนมของไทยขึ้นแท่นมาตรฐานสากลสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในอนาคต
นายพีระ ไชยรุตม์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวความก้าวหน้าโครงการวิจัย “การศึกษารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการจัดการของเสียในฟาร์มโคนมและการพัฒนาที่ยั่งยืน” ว่า อ.ส.ค.ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สืบสานรักษาต่อยอดอาชีพการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรไทยมาอย่างยาวนาน ปีนี้ครบรอบ 60 ปี ของการก่อตั้งฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค หรือ อ.ส.ค. ในปัจจุบัน งานศึกษาวิจัยค้นคว้าเพื่อพัฒนาการเลี้ยงโคนมให้กับประเทศจึงเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่ง อ.ส.ค. มีเป้าหมายที่จะยกระดับความสามารถของเกษตรกรโคนมไทยให้ประกอบอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการสร้างนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมโคนมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ภายใต้การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจแบบองค์รวม หรือ BCG Model ตามแนวนโยบายของรัฐบาล
สำหรับผลงานวิจัยดังกล่าวทีมนักวิจัยได้สร้างต้นแบบการเลี้ยงโคนมในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือการคืนสภาพหรือสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่ของเสียเหลือทิ้ง ในวงจรชีวิตของการผลิตแทนการทิ้งไปแบบไร้ประโยชน์และก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มีการหมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่องโดยไม่มีของเสียนอกจากนี้ยังได้แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความสมดุลในการดึงทรัพยากรธรรมชาติมาใช้งานใหม่ ควบคู่ไปกับการสร้างระบบและการออกแบบที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำฟาร์มโคนม ซึ่งของเสียจากการผลิตน้ำนมดิบของฟาร์มส่วนใหญ่จะนำมาหมุนเวียนเป็นพลังงานทดแทนเพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งของเสียจากฟาร์มโคนมนับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตของคนในชุมชนไม่น้อยไปกว่าฟาร์มปศุสัตว์อื่นๆ
“ปัจจุบันโคนม 1 ตัว มีน้ำหนักตัวเฉลี่ย 500 กิโลกรัมถ่ายมูลและปัสสาวะคิดเป็น 5% ของน้ำหนักตัวจะมีของเสียที่ขับถ่ายออกมามากถึง 25 กิโลกรัม/ตัว/วัน โดยที่ทั้งประเทศมีโคนมทั้งหมด 812,666 ตัว จะมีของเสียมากถึง 20.31 ล้านกิโลกรัม/วัน ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยที่คนในชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับผลประโยชน์ โดยใช้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสร้าง ‘กระบวนการเรียนรู้’ ซึ่งจะทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ ในขณะเดียวกันยังมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ โดยสร้างต้นแบบของการจัดการฟาร์มโคนมแบบองค์รวม โดยไม่มุ่งเน้นเพิ่มผลผลิตน้ำนมให้ได้มากที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สภาพแวดล้อมรอบฟาร์ม” นายพีระ กล่าว
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร. ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ฟาร์มโคนมต้นแบบระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ The circular dairy farming model เป็นการจัดการฟาร์มโคนมในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของเสียเหลือทิ้ง เป็นการพัฒนาระดับฟาร์มของเกษตรกรหรือต้นน้ำที่จะส่งผลต่อธุรกิจอุตสาหกรรมนมปลายน้ำและเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนมและผลิตภัณฑ์นมของประเทศโดยชุมชนเกษตรกรมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้างต้นแบบการบริหารจัดการเชิงธุรกิจของกลุ่มเกษตรกรในท้องถิ่นให้ดำเนินงานร่วมกันด้านการบริการ การผลิต การแปรรูปและการตลาด โดยมีของเสียจากฟาร์มโคนมเป็นวัตถุดิบ เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ เกิดการจ้างงานภายในชุมชน เป็นทางเลือกของอาชีพใหม่เพื่อฟื้นฟูเยียวยาหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อีกทางหนึ่งด้วย
“ผลจากงานวิจัยนี้ทำให้คนในชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้ง วิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียนในฟาร์มโคนม อ.มวกเหล็ก ขึ้น โดยมีคุณณัฐฏ์ เภารอด เป็นประธานวิสาหกิจชุมชน จึงเป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยของเสียจากฟาร์มโคนมนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ การผลิตปุ๋ยหมักจากมูลโค การผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำทิ้ง การเลี้ยงปลานิลในบ่อบำบัดน้ำทิ้งจากฟาร์ม การเพาะเห็ดจากเศษฟางเหลือทิ้ง การผลิตปุ๋ยน้ำนมจากน้ำนมที่ด้อยคุณภาพ เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพและการกระจายรายได้ให้กับชุมชน ทำให้ของเสียเหลือศูนย์ หรือ Zero Waste ทั้งยังเป็นการยกระดับการจัดการฟาร์มโคนมของเกษตรกรให้ได้ตามมาตรฐานฟาร์มและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากของเสียเหลือทิ้ง ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพน้ำนมดิบที่ต้นทางดีขึ้นทำให้อุตสาหกรรมนมของไทยได้มาตรฐานสากลสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้” รองศาสตราจารย์ ดร. ธำรงรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย