ข่าว (News) นานาปศุสัตว์ (Animal News) สุกร (Pig)

แก้เรื่อง “วัตถุดิบอาหารสัตว์” เท่ากับแก้ต้นทุนคนเลี้ยง

ปัญหาหมูเถื่อนที่เข้ามาแทรกตลาดหมูไทยอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพราะราคาหมูไทยที่แพงขึ้นจากความเสียหายด้วยโรค ASF เป็นช่องว่างให้หมูผิดกฏหมายแทรกตัวเข้าสู่ทุกอนูของวงการค้าหมูในประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นต้นทุนการผลิตหมูไทยที่พุ่งสูงขึ้นมากจากมาตรการป้องกันโรค และราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของหมูไทยหมดไป พ่ายแพ้แก่หมูเถื่อนที่ยั่วใจคนซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่ามาก

ฟังอย่างนี้ แล้วคนที่น่าเห็นใจที่สุดก็หนีไม่พ้น “เกษตรกรคนเลี้ยงหมู” ของไทยเรา ที่ลำพังตัวเองคนเดียว ย่อมไม่สามารถสู้รบปรบมือกับมิจฉาชีพและปัญหาต่างๆ ได้เอง ภาครัฐ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการคลี่คลายปัญหา และต้องช่วยทำให้เกษตรกรไทยกลับมาแข็งแรง พร้อมผลิตอาหารปลอดภัยให้คนไทย ไม่ต้องแขวนชีวิตและสุขภาพไว้กับหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใดๆ รวมถึงเป็นผู้เถื่อนหมดอายุที่วันนี้ขึ้นราเต็มชิ้นแล้ว ตามที่ปรากฏในข่าว

ภาครัฐ ที่ต้องช่วยคลี่คลายปัญหา ใม่ใช่มีเพียง กรมปศุสัตว์-กรมศุลกากร–ตำรวจ ที่ต้องร่วมมือกันไล่กวดขัน จับกุม ปราบปราม และป้องกันหมูเถื่อนไม่ให้เข้าประเทศเท่านั้น แต่หน่วยงานรัฐที่ต้องช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิตก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการเลี้ยงสัตว์ที่มี กรมการค้าภายใน เป็นเจ้าภาพสำคัญ

ภายใต้ข้อจำกัดในตลาดโลกที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังอยู่ในเกณฑ์สูง จากปัญหาสงครามรัสเขีย-ยูเครนซึ่งเป็นวาระแห่งโลก ที่กรมการค้าภายในรับรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถไปแก้ปัญหานอกประเทศได้ ทางออกคือต้องทำจากภายในประเทศเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนำเข้า หรือการยกเว้นมาตรการที่เป็นอุปสรรค แต่สิ่งที่เสนอออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กลับผิดคาด และดูแปลกไปจากที่ควรจะเป็น

โดยมีข้อเสนอที่จะจับคู่เกษตรกรกับโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อจุดประสงค์ให้เกิดการซื้อ-ขายโดยตรง ระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กับโรงงานอาหารสัตว์ พร้อมๆ กับเสนอช่วยเรื่องค่าขนส่ง ภายใต้งบประมาณ 4 ล้านบาท พร้อมงบอีกส่วนหนึ่งในการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้เกษตรกรภาคปศุสัตว์ ทั้งหมดนี้น่าจะดำเนินการในเดือนกรกฎาคมนี้

ถามว่าสิ่งเหล่านี้ดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าดีกว่าไม่ทำอะไร แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและถูกจำกัดในวงแคบ ทั้งๆที่กรมการค้าภายในน่าจะเห็นทางออกที่ได้ประโยชน์กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในวงกว้างอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องหางบประมาณมาสนับสนุนด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงเพิกเฉยกับทางออกนั้น อันนี้ยังเป็นที่กังขาอยู่

ตัวอย่างมาตรการสำคัญที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและกรมฯสามารถประกาศใช้ได้ทันที ได้แก่  

1. การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็น 0% ทั้งกากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี หรือ อื่นๆ

2. ยกเลิกมาตรการข้าวโพด 3 ส่วน : ข้าวสาลี 1 ส่วน ที่เป็นปัญหาดันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศให้สูงเกินจริงเสมอมา

3. เปิดเสรีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยไม่จำกัดโควต้าหรือระยะเวลานำเข้า

เพียงแค่ 3 ข้อนี้ก็ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ได้แล้วอย่างรวดเร็วและปรากฎผลในวงกว้าง หากไม่รีบดำเนินการจะยิ่งทำให้สถานการณ์ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ย่ำแย่ และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงราคาเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นของประชาชน

ประเด็นสำคัญคือ ทวีปอเมริกาใต้ แหล่งเพาะปลูกธัญพืชสำคัญของโลก กำลังเผชิญกับ ปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ก่อให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก คาดการณ์ผลผลิตได้ว่าไม่มีทางเป็นไปตามปกติหรือเพิ่มขึ้นได้เลย ราคาธัญพืชวัตถุดิบทั้งหลายจะยังคงแพงไปตลอดทั้งปี 2566 ดังนั้นการจะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รอดตาย และกลับมาแข็งแรงพอที่จะผลิตเนื้อสัตว์เพื่อผู้บริโภคต่อไปได้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรมการค้าภายในแล้ว./  

โดย ลักขณา นิราวัลย์

Pasusart News
No.1 Livestock Online Magazine in Thailand
https://pasusart.com