มาตรการป้องกันโรค ASF จากการนำเข้า-ส่งออกหมู
การส่งออกหมู เนื้อหมู อาหารสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากหมู และสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับฟาร์มไปประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อม เนื่องจากสถานการณ์โรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ที่กำลังระบาดในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะจีน และเวียดนาม ส่งผลให้เนื้อหมูในภูมิภาคขาดแคลนอย่างหนัก และอาจจะยังคงสภาวะแบบนี้ไปอีกอย่างน้อย 2-5 ปี จนกว่าโรคจะสามารถควบคุมได้ (ในอนาคตอาจมีเทคโนโลยีวิชาการใหม่ๆ ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้ เช่น วัคซีนป้องกันโรค)
เมื่อหมูในภูมิภาค รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านขาดแคลน ประเทศไทยอาจได้อานิสงส์ สามารถส่งออกหมูและสินค้าหมูไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่หลักการด้านการป้องกันโรคในกระบวนการส่งออกก็ต้องควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็อาจไม่รอดจากโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF)
การนำเข้าสินค้าสุกร
1.ไม่นำเข้าสุกร เนื้อสุกร น้ำเชื้อสุกรที่มาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF)
2. กรณีนำเข้าสุกรมีชีวิตจากประเทศปลอดโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ก็ต้องมีผลตรวจรับรองปลอดโรคดังกล่าวจากต้นทาง โดยหน่วยงานราชการ และมีการกักโรคที่ปลายทาง 14 วัน เพื่อตรวจยืนยันปลอดโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) โดยกรมปศุสัตว์
3. ไม่นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อป่น เลือดป่น กระดูกป่น จากประเทศที่มีการระบาดของโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF)
4. กรณีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศที่ปลอดโรค ก็ต้องมีการตรวจ ASF รับรองโดยหน่วยงานราชการ ทั้งต้นทางและปลายทาง
5. การนำเข้าเวชภัณฑ์ จะต้องมีการตรวจรับรองการไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนระหว่างการผลิต
6. สินค้าสุกรที่นำเข้าจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของกรมปศุสัตว์อย่างเข้มงวด และมีระบบการตรวจสอบไม่ให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่ตามด่านชายแดนต่างๆ
ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ในประเทศต่างๆ การส่งออกสามารถปฏิบัติได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. การส่งออกหมูมีชีวิต (หย่านม, รุ่นพันธุ์, ขุน)
การป้องกันโรคผ่านทางการส่งออกสินค้าประเภทหมูมีชีวิต สามารถทำได้โดย
(1) ฟาร์มต้นทาง ทำการตรวจประเมินฝูง เพื่อยืนยันการปลอดต่อโรค ASF และตรวจโรคอื่นตามที่ต่างประเทศที่จะส่งออกกำหนด
(2) แยกรถขนส่งที่ใช้เฉพาะการส่งออก และต้องแยกใช้ตามประเภทสินค้า
(3) รถขนส่ง ไม่ควรขับเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง ควรมีการทอยสุกรแบบใช้ชู้ทเป็นสะพานเชื่อม แล้วย้ายหมูขึ้นรถขนส่งอีกคันที่พื้นที่ตรงชายแดน และจุดส่งควรแยกประเภทหมูที่ส่ง โดยให้จุดส่งหมูขุน แยกออกจากจุดส่งหย่านม/รุ่นพันธุ์
(4) รถขนส่งที่มาส่งหมู หลังจากย้ายหมูเรียบร้อยแล้ว ให้ล้าง ฆ่าเชื้อ ณ จุดส่ง แล้วนำรถไปล้างอัดฉีดให้สะอาดอีกรอบก่อนกลับเข้าไปพักโรคในเขตคลีนโซน อย่างน้อย 72 ชม. ก่อนไปรับหมูที่จุดขายในเที่ยวถัดไป
(5) รถขนส่งที่มารับหมู (ฝั่งต่างประเทศ) ต้องเป็นรถที่สะอาดฆ่าเชื้อมาแล้วตามข้อกำหนด และนำมาพ่นยาฆ่าเชื้ออีกครั้งที่จุดรับ ก่อนย้ายหมูขึ้นรถ
(6) พื้นที่รับส่งหมู ควรมีชู้ท หรือสะพานเชื่อม และพื้นจะต้องเป็นลานปูน มีร่องระบายน้ำ ป้องกันการหมักหมมของเชื้อโรคที่บริเวณจุดรับส่ง
(7) เมื่อทำการถ่ายโอนสุกรเรียบร้อยแล้ว ก่อนเลิกงานควรล้าง พ่นยาฆ่าเชื้อให้ทั่วบริเวณจุดส่ง และโรยปูนขาวในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังให้เรียบร้อย
2. การส่งออกเนื้อหมู และผลิตภัณฑ์หมู ไปประเทศเพื่อนบ้าน
การส่งออกเนื้อหมูในภาวะที่มีการระบาดจะจัดการด้านการป้องกันโรคง่ายกว่าการส่งหมูมีชีวิต ส่วนวิธีการนั้นให้ยึดตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ ที่เป็นฝ่ายรับ ส่วนข้อกำหนดด้านการป้องกันโรคจะเน้นที่ไม่ให้รถขนเนื้อหมูจากฝั่งไทยเข้าไปยังต่างประเทศโดยตรง ควรใช้วิธีการทอยแบบต่อท้ายที่ด่านชายแดน หรือการส่งแบบกำหนดจุดรับส่งเป็นห้องเย็นที่แยกทางเข้า และทางออกก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถป้องกันโรคได้ โดยเน้นการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อรถที่ด่าน 1 รอบ และล้าง ฆ่าเชื้อ ก่อนออกจากพื้นที่เฝ้านะวัง (Buffer) อีก 1 รอบ ก่อนพักโรค 24 ชม. ก่อนไปรับเนื้อสุกรที่โรงชำแหละในเที่ยวถัดไป
การเตรียมพร้อมด้านมาตรฐานโรงชำแหละได้ผ่าน GMP/HACCP แบบส่งออกมีความสำคัญมาก เพราะการตรวจสอบย้อนกลับและมาตรการป้องกัน ASF ทั้งฟาร์มต้นทางและโรงงานชำแหละ เป็นข้อกำหนดหลักที่คู่ค้าต้องการเป็นเงื่อนไขในการรับซื้อในยุคนี้
3. การส่งออกอุปกรณ์ ยา เวชภัณฑ์ อาหารสัตว์ เข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน
ข้อกำหนดด้านการป้องกันโรค จะเน้นที่ไม่ให้รถขนสินค้าจากฝั่งไทยเข้าไปยังต่างประเทศโดยตรง ควรใช้วิธีการทอยแบบต่อท้ายที่ด่านชายแดน หรือการส่งแบบกำหนดจุดรับส่งเป็นโกดังเก็บของที่แยกทางเข้าและทางออกก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถป้องกันโรคได้ โดยเน้นการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อรถที่ด่าน 1 รอบ และล้าง ฆ่าเชื้อ ก่อนออกจากพื้นที่เฝ้าระวัง (Buffer) อีก 1 รอบ ก่อนพักโรค 12 ชม. ก่อนไปรับสินค้าที่โรงงานในเที่ยวถัดไป
กรณีส่งออกทางเรือ (ทางทะเล) หรือเครื่องบินขนส่งสินค้า สามารถใช้วิธีการป้องกันโรคโดยการควบคุมรถขนส่งที่ไปส่งที่ท่าเรือ หรือสนามบิน โดยลดระยะพักโรครถขนส่งหลังล้าง เหลือเพียง 12 ชม. ทุกกรณี (กรณีไม่ได้เข้าไปสัมผัสจุดเสี่ยงตามพื้นที่ชายแดน)
สิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม เพื่อให้การส่งออกหมูและสินค้าไปประเทศเพื่อนบ้าน คือ
1) ต้องกำหนดจุดส่งออกข้ามแดนให้ชัดเจน และมีการตรวจการเคลื่อนย้ายตลอด 24 ชม. ป้องกันการลักลอบส่งออกนำเข้าผิดกฎหมาย
2) จัดทำจุดรับส่งสินค้าที่ใช้แดน แยกตามประเภทและความเสี่ยง
3) นโยบายลดความเสี่ยงในพื้นที่รับส่ง ทำให้เป็นจุด Buffer เช่น ห้ามมีการเลี้ยงหมูหลังบ้าน หรือเลี้ยงแบบปล่อยทุ่ง ในรัศมี 5 กม. จากจุดรับส่งสินค้า
4) ติดตั้งระบบ GPS รถขนส่ง สำหรับสินค้าส่งออกทุกคัน เพื่อตรวจสอบเส้นทางเดินรถ และระยะพักโรคให้เป็นไปตามข้อกำหนด
ทั้งหมดนี้เป็นทางออกของประเทศไทย ถ้าเราป้องกันโรคอย่างเดียว โดยไม่สนใจเรื่องการตลาด อุตสาหกรรมหมูก็อาจจะถูกประเทศอื่นแทรกแซงได้ และตอนนี้ทางอเมริกา แคนาดา ยุโรป ก็วางแผนการผลิตหมูเพื่อส่งออกมายังประเทศเอเชียแทบทั้งสิ้น ถ้าทุกคนในประเทศช่วยกัน ทั้งเรื่องการป้องกันไม่ให้ฟาร์มติดโรค ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องการเคลื่อนย้ายไม่ให้โรคแพร่ระบาด ประเทศไทยก็จะปลอดโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ไปอีกนาน จนถึงสถานการณ์ที่ทั้งภูมิภาคขาดแคลนเนื้อหมูถึงขั้นราคาพุ่งเช่นเดียวกับจีนและเวียดนามในเวลานี้ ทุกฟาร์มก็จะรวยไปด้วยกัน
แต่ถ้าประเทศไทยไปไม่รอด นอกจากหลายๆ ฟาร์มจะหายไปจากวงการ ประชาชนก็ต้องกินหมูที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยภาพรวม
ขอขอบคุณ : น.สพ.อดิศักดิ์ สมอ่อน (CPF Swine Veterinary Service)