ข่าว (News) วิชาการปศุสัตว์ (Livestock Article)

อ.ศกร ไขข้อสังสัยโรคสัตว์ช่วง #ปลายฝนต้นหนาว ต้องระวัง

รศ.ดร.ศกร คุณวุฒิฤทธิรณ ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความที่น่าสนใจลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Skorn Koonawootrittriron ระบุว่า เคยสงสัยกันไหมครับ ว่า ทำไมช่วงปลายฝนต้นหนาว สัตว์ป่วยอะไรกันนักกันหนา แล้วตามหลักสัตวบาลเราควรจะปฏิบัติเพื่อป้องกันความเสียหายกันอย่างไร?

ช่วงปลายฝนต้นหนาวในประเทศไทย เป็น “ช่วงที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” จากอากาศร้อนชื้นในฤดูฝนไปสู่สภาพเย็นและแห้งมากขึ้นในฤดูหนาว ความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันนี้ทำให้ “ภูมิคุ้มกันของสัตว์ลดลง” เนื่องจากร่างกายสัตว์ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการปรับสมดุลอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมภายใน

เมื่อ “ความเครียดจากสภาพอากาศ” สะสมมากขึ้น “ความไวต่อเชื้อโรคจึงเพิ่มขึ้น” โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease; FMD) โรคหลอดลมอักเสบ รวมทั้งโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในฝูง

ในเชิงระบาดวิทยา ช่วงปลายฤดูฝน เป็น “ช่วงที่ฟาร์มปศุสัตว์จำนวนมากมีความชื้นสะสมสูง” ทั้งในพื้นคอก ดิน แหล่งน้ำ และ สภาพอากาศที่มีลมพัดผ่านน้อย “อุณหภูมิที่อุ่นชื้นเช่นนี้เ หมาะสมต่อการอยู่รอดของเชื้อโรค” เช่น ไวรัส FMD ไวรัส PRRS เชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Pasteurella และ Mycoplasma รวมถึงเชื้อที่ก่อโรคท้องร่วงในสัตว์อายุน้อย

นอกจากนี้ ยุง เห็บ หมัด และแมลงดูดเลือด (พาหะนำโรค) ยังมีจำนวนมากหลังฤดูฝน ทำให้โรคที่มีแมลงเป็นพาหะแพร่กระจายได้ง่าย เช่น โรคลัมปีสกินในโคกระบือ และโรคโปรโตซัวในเลือด เช่น ไบเบซิโอซิสและอะแนพลาสโมซิส การมีแมลงจำนวนมากก่อนที่อุณหภูมิจะลดลงอย่างเต็มที่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคสัตว์ระบาดมากขึ้นในช่วงนี้

พร้อมกันนี้ ช่วงปลายฝนต้นหนาว ยังเป็นช่วงที่ระบบการเลี้ยงของเกษตรกรไทยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน เช่น การเริ่มเก็บเกี่ยวพืชไร่ ทำให้ทุ่งหญ้ามีคุณภาพลดลง เกษตรกรต้องเคลื่อนย้ายสัตว์มากขึ้นเพื่อหาหญ้า หรือจำเป็นต้องเพิ่มการใช้อาหารหยาบและอาหารแห้ง “คุณค่าทางโภชนาการที่ลดลงทำให้ภูมิคุ้มกันของสัตว์อ่อนแอ” เพิ่มความเสี่ยงต่อการปะทุของโรคเก่าหรือการติดเชื้อใหม่

นอกจากนี้ พืชอาหารสัตว์หลังฤดูฝนยังมีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อรา เช่น แอฟลาท็อกซินและไมคอตอกซินในหญ้าหมัก ฟาง และอาหารข้น ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ตัวซ้ำเติม” (immunosuppressive agents) ทำให้สัตว์ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นเชื้อที่มีอยู่ในฟาร์มมานานแล้วก็ตาม

อีกประเด็นสำคัญ คือ โครงสร้างการเลี้ยงสัตว์ของไทยส่วนใหญ่เป็น “ฟาร์มรายย่อยแบบกึ่งเปิด” ซึ่งมีมาตรการความสะอาด ความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) และการแบ่งคอกที่ไม่เข้มงวดเท่าฟาร์มระบบปิด ช่วงปลายฝนที่คอกแฉะและชื้น และ ต้นหนาวที่มีลมเย็นแรง ทำให้สัตว์มีความเสี่ยงทั้งโรคระบบทางเดินหายใจและโรคที่ชอบความชื้นพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน ช่วงนี้ยังเป็นฤดูซื้อขายโคกระบือเพื่อการขุน รวมฝูง หรือเคลื่อนย้ายโคกระบือระหว่างพื้นที่เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนหลังฤดูเก็บเกี่ยว ส่งผลให้โอกาสแพร่โรคข้ามพื้นที่สูงกว่าช่วงอื่นของปี

ในด้านการบริหารของรัฐ ช่วงปลายฝนต้นหนาวมักเป็นช่วงที่ “หน่วยงานรัฐต้องรับมือกับหลายภารกิจพร้อมกัน” เช่น อุทกภัยในบางพื้นที่ ปัญหาฝุ่นควัน และ “กระบวนการจัดทำงบประมาณประจำปี” จึงเกิดช่องว่างด้านกำลังคน อุปกรณ์ วัคซีน และระบบเฝ้าระวัง ในบางปีอาจมีความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน ส่งผลกระทบต่อความพร้อมของประเทศในการป้องกันโรค

นอกจากนี้ ยังมี “ปัจจัยทางการเมือง” เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร หรือการตัดสินใจที่คำนึงถึงคะแนนนิยมจนทำให้ไม่กล้าประกาศโรคระบาด ทั้งที่ในเชิงระบาดวิทยา “การประกาศเร็ว” จะช่วยลดความเสียหายได้มากกว่า

เมื่อพิจารณาโดยรวม ช่วงปลายฝนต้นหนาวจึงเป็น “จุดเสี่ยงสูงทางระบาดวิทยา” ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นช่วงที่หลายปัจจัยมาบรรจบกัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างเฉียบพลัน การอ่อนแอของภูมิคุ้มกันสัตว์ ความชื้นในสิ่งแวดล้อม การระบาดของแมลงพาหะ คุณค่าทางโภชนาการที่ลดลง การเคลื่อนไหวของสัตว์เพื่อการซื้อขาย และข้อจำกัดด้าน biosecurity ของฟาร์มรายย่อย เมื่อรวมกับข้อท้าทายในการบริหารจัดการของภาครัฐ จึงทำให้ช่วงนี้มักเกิดโรคปศุสัตว์ระบาดซ้ำซากเป็นประจำทุกปี

ช่วงปลายฝนต้นหนาว จึงเป็น “ฤดูกาลที่สัตว์มีความเสี่ยงสูงต่อโรคระบาด” มาตรการป้องกันจำเป็นต้องเน้น “การจัดการเชิงรุก” มากกว่า “การรับมือเมื่อเกิดปัญหา”

โดย “เริ่มจากการจัดการภายในฟาร์ม” เช่น “การทำคอกให้แห้ง สะอาด ระบายอากาศดี” และ “การเสริมอาหารที่มีคุณภาพ” เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน รวมถึง “การฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนตรงตามกำหนด” เพื่อช่วยให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกันเพียงพอก่อนเข้าสู่ฤดูเสี่ยง

นอกจากนี้ “การควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์” โดยเฉพาะการกักกันสัตว์ใหม่อย่างเคร่งครัด และการเฝ้าระวังโรคในระดับชุมชน มีส่วนสำคัญในการลดการแพร่ระบาดเช่นกัน

ในระดับอุตสาหกรรม “โรงงานรับซื้อสัตว์และตลาดกลาง” ควรมี “มาตรการ biosecurity ที่เข้มงวด” เช่น การล้างล้อรถ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และการตรวจสุขภาพสัตว์ก่อนเข้าสู่ระบบ รวมถึง “การหลีกเลี่ยงแหล่งที่มาจากพื้นที่เสี่ยงสูงในช่วงฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน” และ “การสร้างระบบติดตามแหล่งกำเนิดสัตว์ (traceability)” จะช่วยลดความเสี่ยงการระบาดที่กระทบห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด

“บทบาทของภาครัฐ” เป็นอีกส่วนที่ขาดไม่ได้ มาตรการเชิงรุก เช่น การเร่งรัดการฉีดวัคซีน การจัดทีมปฏิบัติการควบคุมโรคแบบเคลื่อนที่เร็ว (rapid response) และการประกาศพื้นที่ควบคุมโรคอย่างทันท่วงที ช่วยลดการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การสื่อสารความเสี่ยงอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง” ทำให้เกษตรกรและประชาชนเข้าใจสถานการณ์และร่วมมือได้ดีขึ้น แต่ปัญหาที่พบเป็นประจำ คือ “ความล่าช้าในการประกาศโรค การขาดแคลนวัคซีน และ มาตรการควบคุมโรคที่ไม่สม่ำเสมอ” ซึ่งควรได้รับการปรับปรุงอย่างจริงจัง

“การป้องกันโรคระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว” จำเป็นต้องอาศัย “ความร่วมมือของทุกภาคส่วน” ทั้งฟาร์ม ชุมชน อุตสาหกรรม และภาครัฐ 

เพราะ “โรคสัตว์เศรษฐกิจ” มักแพร่ข้ามฟาร์ม ข้ามชุมชน และข้ามจังหวัดได้รวดเร็ว การป้องกันเฉพาะระดับฟาร์มจึงไม่เพียงพอ ความร่วมมือดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงต่อสัตว์ เกษตรกร ระบบเศรษฐกิจ และโครงสร้างอาหารของประเทศในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ช่วยกันนะครับ

#สัตวบาลศกร #มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Pasusart News
No.1 Livestock Online Magazine in Thailand
https://pasusart.com