โรค ASF ในสุกร ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการผลิตสุกรทั่วโลกแล้วกว่า 25% หรือ 1 ใน 4 ของโลก และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าอาจจะเลวร้ายไปกว่านี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหากไม่สามารถควบคุมได้
การระบาดของโรค ASF ในสุกร ในเอเชียยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในประเทศจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ทำให้ต้องทำลายสุกรแล้วหลายล้านตัว ซึ่งตัวเลขความเสียหายที่แท้จริง อาจจะมีตัวเลขที่สูงกว่าที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการ โดยในจีนมีสุกรเสียหายกว่า 100 ล้านตัว และคาดการณ์ว่าอาจต้องสูญเสียสุกรเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20-70%
ทั้งนี้มีการรายงานการระบาดของโรคดังกล่าวเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องในยุโรป อาทิ ประเทศลัตเวีย สโลวาเกีย โรมาเนีย ฮังการี และเบลเยียม ซึ่งปัจจุบันโรค ASF ในสุกร มีการรายงานการระบาดแล้ว 50 ประเทศ และกำลังแพร่กระจายไปยังทางตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสุกรแหล่งใหญ่ ทั้งประเทศเดนมาร์กและเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นการใช้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการเข้มงวดตามแนวชายแดน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเน้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสของโรคดังกล่าว
จากการรายงานขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ Office International des Epizooties : OIE) ว่าปริมาณสุกรจากทั่วโลก ประมาณ 1 ใน 4 จะเสียหายจากการติดเชื้อโรค ASF ในสุกร ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเนื้อสุกรบริโภคและทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น โดยราคาขายปลีกเนื้อหมูในประเทศจีนพุ่งขึ้น 9.2% หรือประมาณ 240 บาท/กิโลกรัม ($8 per kilo.) ทำให้ผู้ผลิตเนื้อสัตว์จากทั่วโลกใช้โอกาสนี้มองหาช่องทางส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีน ล่าสุด JBS บริษัทผู้ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อสุกรปลอดสาร “แรคโตพามีน (Ractopamine)” ซึ่งเป็นสารกลุ่มของสารเร่งเนื้อแดงและเป็นสารต้องห้าม เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังประเทศจีนได้
อย่างไรก็ตามโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีการรักษา การป้องกันโรคที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ การใช้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) อย่างเข้มงวด
“อย่าชะล่าใจ เพราะโรคนี้ร้ายแรงกว่าที่คุณคิด”
อ้างอิง : The Pig Site
