ข่าว (News) สุกร (Pig)

อย่าหาทำ! เจรจานำเข้าเนื้อหมูสหรัฐฯ บ่อนทำลายเกษตรกรไทย

อย่าหาทำ!! เจรจานำเข้าเนื้อหมูสหรัฐฯ…บ่อนทำลายเกษตรกรไทย-ผู้บริโภคเสี่ยงสารเร่งเนื้อแดง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าเต็มสูบ ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าทั่วหน้า ทั้งภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) และภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ รวมถึงไทยที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงถึง 37% เนื่องจากมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ กว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐบาลไทย พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม โดยการไม่ตอบโต้กลับ แต่กลับเสนอการขยายการนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตร ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื้อวัว ปลาทูน่า แต่ที่น่ากังวลที่สุดคือ เนื้อหมู แม้ว่าเจตนาของภาครัฐจะเป็นการปรับสมดุลการค้าอาจดูเหมือนเป็นแนวทางที่เหมาะสม แต่การนำเข้าเนื้อหมูกลับเป็นประเด็นก่อให้เกิดคำถามถึงผลกระทบที่ตามมา ว่าอาจได้ไม่คุ้มเสีย

ต้องไม่ลืมว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก มีความสามารถในการผลิตหมูในต้นทุนที่ต่ำกว่าประเทศไทยอย่างมาก เนื้อหมูจากสหรัฐฯ จึงมีราคาถูก เมื่อเข้าสู่ตลาดไทย ย่อมกระทบต่อโครงสร้างราคาภายในประเทศ และทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไม่สามารถแข่งขันได้

ล่าสุดสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติชี้ว่า แม้เกษตรกรไทยจะยินดีหากมีการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น เพราะช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่กลับ “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำเข้าเนื้อหมู” เพราะเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้สินค้าแข่งขันโดยตรงจากภายนอก เข้ามาทำลายฐานการผลิตในประเทศ

เมื่อราคาตลาดถูกดันลงจากหมูนำเข้า เกษตรกรไทยจะม่สามารถอยู่รอดได้ และต้องออกจากอาชีพ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตหมูในประเทศลดลงในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าเนื้อหมูอย่างถาวร

ดูอย่างกรณีของประเทศฟิลิปปินส์เป็นตัวอย่าง หลังเปิดตลาดให้หมูนำเข้าทะลักเข้า ส่งผลให้เกษตรกรในประเทศทยอยเลิกเลี้ยงหมู ปัจจุบันต้องพึ่งพาหมูจากต่างประเทศเป็นหลัก และถึงแม้จะเป็นสินค้านำเข้า ราคาหมูกลับเพิ่มขึ้นถึง 30% กลายเป็นภาระค่าครองชีพที่ประชาชนต้องแบกรับในระยะยาว

อีกประเด็นสำคัญที่อาจถูกละเลยคือเรื่อง “มาตรฐานการผลิต” โดยเฉพาะการใช้ “สารเร่งเนื้อแดง” ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในกระบวนการเลี้ยงสุกรของไทยมาหลายสิบปี ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงอนุญาตให้ใช้สารนี้ภายใต้กฎหมาย แม้จะมีข้อถกเถียงในระดับนานาชาติเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวต่อระบบหัวใจและระบบประสาทของมนุษย์ หลายประเทศทั่วโลกได้ประกาศห้ามนำเข้าเนื้อหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง แต่หากไทยเปิดนำเข้าโดยไม่พิจารณาประเด็นนี้อย่างรอบคอบ ก็อาจเท่ากับการลดมาตรฐานด้านอาหารของประเทศโดยไม่รู้ตัว

วันนี้แทนที่จะเลือกนำเข้าเนื้อหมูซึ่งส่งผลเสียหลายด้าน ไทยควรมองหาทางเลือกที่ไม่กระทบต่อภาคเกษตรกรรมในประเทศ เช่น การนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าสูงและไทยยังต้องพึ่งพาอยู่ เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซแอลเอ็นจี ตัวอย่างล่าสุดคือ การลงนามนำเข้าก๊าซ LNG ปีละ 1 ล้านตัน ระยะเวลา 15 ปี มูลค่ารวมกว่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขยับเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยลดดุลการค้าโดยไม่สร้างผลกระทบในประเทศ

แม้ว่าการเจรจาทางการค้าอาจจำเป็นต้องมีการให้ และ รับ แต่การเลือกสิ่งที่จะแลกนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนแบบ 360 องศาถึงผลดีและผลเสียที่จะตามมา โดยเฉพาะเมื่อสิ่งนั้นคือกระทบกับความมั่นคงของอาชีพเกษตรกร ความปลอดภัยของผู้บริโภค ความมั่นคงทางอาหาร และเสถียรภาพในระบบอาหารของประเทศ การลดกำแพงภาษี อาจดูเหมือนผลประโยชน์ระยะสั้น แต่นี่ก็อาจกลายเป็นความเสียหายระยะยาวที่มีต่อคนไทย

Pasusart News
No.1 Livestock Online Magazine in Thailand
https://pasusart.com