ข่าว (News) นานาปศุสัตว์ (Animal News) สุกร (Pig)

10 ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เมื่อไทยมีรายงานโรค ASF ในหมู

เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปอาจมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ​ว่า ทำไมโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ถึงเป็น “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง​ที่จะป้องกันไม่ให้โรคนี้เข้ามาระบาดในประเทศไทย​ อ่านผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น​ 10​ ข้อนี้ แล้วพิจารณา​ดูว่า​จะยอมให้ประเทศไทยเกิดการระบาดของโรคนี้ได้ง่ายๆ หรือไม่?

1. ผลกระทบต่อราคาเนื้อหมู ช่วงแรกที่เกิดโรคราคาหมูจะตกต่ำ เนื่องจากผู้บริโภคกลัวเรื่องโรคระบาดที่ทำให้หมูตายอย่างหนัก​ และทุกประเทศเพื่อนบ้านจะระงับการนำเข้าหมูและเนื้อหมูจากไทย​ คนที่มีหมูขุน หมูหย่านม หมูเล็กในมือก็จะเทขายหนีโรคระบาด​ หมูสาวก็ลดการทดแทนเพราะไม่มีใครอยากขยายฝูงหรือทดแทนช่วงนี้​ แม่พันธุ์​จะถูกปลดออกเพิ่มขึ้นในเขตที่เลี้ยงหนาแน่นและพื้นที่เสี่ยง​ ทำให้หมูในตลาดล้นทันที​ (ณ​ ปัจจุบัน​กรณีที่ประเทศไทยหมูเริ่มราคาตกยังไม่ใช่ระยะนี้จริงๆ​) พอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง​ ราคาหมูจะแพงขึ้น​แบบสุดโต่ง​ สาเหตุจากสุกรตายเสียหายจำนวนมากและรายเก่ารายใหม่งดการขยายธุรกิจฟาร์ม​หมู​ เนื้อหมูในห้องเย็นหมดสต็อค​ ​เป็นต้น ถ้าใครอยู่รอดมาถึงระยะนี้ก็จะกำไร… เมื่อหมูแพง​จะส่งผลให้ค่าครองชีพโดยรวมของไทยสูงขึ้นตามไปด้วย​

2. ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค​เนื้อหมู ผู้บริโภคอาจจะลดการกินเนื้อหมู หรือเลือกกินเนื้อหมูที่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกซื้อเนื้อหมูจากเขียงหมู​ทั่วไป​ มาเป็นจุดจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน​ เน้นเรื่องมาตรฐานอาหารปลอดภัยมากขึ้น​ และผู้ประกอบการด้านจำหน่ายเนื้อสัตว์​จะขอดูระบบมาตรฐานด้านการป้องกันโรค ASF จากต้นทางทั้งฟาร์มและโรงฆ่าสัตว์​ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนอกจากนี้​ ความกดดันจากผู้บริโภคยังส่งผลทำให้โรงฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐานจะถูกปราบปรามอย่างต่อเนื่อง ที่เหลืออยู่จะถูกควบคุมให้เน้นทั้งมาตรฐานอาหารปลอดภัยและระบบป้องกันโรคจากโรงงาน​สู่ฟ​า​ร์ม ธุรกิจประเภทตัดแต่ง/แปรรูปเนื้อสัตว์​ ห้องเย็น​ อาหารเนื้อสัตว์​ประเภทแช่แข็งจะเริ่มเฟื่องฟู​

3. ผลกระทบต่อระบบการเลี้ยงหมู ประเทศไทยผลิตหมูขุนประมาณ 20 ล้านตัวต่อปี​ มีเกษตรกรที่เลี้ยงหมูเกือบ 2 แสนราย​ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย​ที่เลี้ยงแบบหลังบ้าน เมื่อเกิดโรค ASF รูปแบบการเลี้ยงหมูจะเปลี่ยนไป​จากเดิม ระบบการเลี้ยงแบบหลังบ้านที่ใช้เศษอาหารเลี้ยงหมูจะค่อยๆ หายไป​ จะเหลือรอดเฉพาะฟาร์ม​ที่มีระบบป้องกันโรคที่​ดีเท่านั้น​ และฟาร์มที่อยู่รอดจะต้องมีแหล่งผลิตพันธุ์​สัตว์ใช้เอง​เป็นส่วนใหญ่​ ไม่มีการซื้อหมูทดแทนจากฟาร์มอื่น​ เพราะจะติดปัญหาเรื่องความเสี่ยงจากโรค​ และข้อจำกัดเรื่องการเคลื่อนย้าย​​ และระบบมาตรฐานฟาร์มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั้งเรื่องการป้องกันโรคและกฏหมายด้านการเคลื่อนย้ายต่างๆ

4. ผลกระทบด้านการเคลื่อนย้ายหมู เมื่อมีการระบาดของโรค ASF ฟาร์มหมู​แต่ละเขตจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 โซน​ ได้แก่​ เขตเสี่ยงสูง/สีแดง (พื้นที่เกิดโรคระบาด)​ หรือพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรจากฟาร์มเกิดโรค เขตเสี่ยงปานกลาง/สีเหลือง (เขตเฝ้าระวัง)​ เขตพื้นที่ในจังหวัดที่เกิดโรค และเขตเสี่ยงต่ำ/สีเขียว​ (ปลอดโรค)​ ฟาร์​มที่อยู่ในเขตเสี่ยงสูงจะมีข้อจำกัดในการเคลื่อนย้าย​ ทุกฟาร์ม​จะต้องกลับมาทบทวนทั้งแหล่งรับหมูทดแทน​ แหล่งรับหมูหย่านม​ แหล่งขายหมูขุน​ที่จะต้องมีหลักเกณฑ์​และระเบียบข้อบังคับ​เพิ่มมากขึ้น

5. ผลกระทบด้านแรงงานเกี่ยวกับหมู คนงาน พนักงาน และสัตวบาลประจำฟาร์ม​จะขาดแคลน​ เพราะต้องแลกกับอิสรภาพทางสังคม​ ต้องพักในฟาร์มและจำกัดการเข้าออกอย่างหนัก “เหมือนติดคุกในเขตโรคระบาดหรือพื้นที่เสี่ยงสูง” แม้ค่าจ้างจะแพงขึ้นแต่ก็ไม่ใช่แรงจูงใจที่ดีแล้วในยุคสังคมโซเซี่ยลแบบนี้​ อัตรา turnover ของฟาร์มระดับใหญ่อาจจะสูงถึง 60% ต่อปี​ (เหตุการณ์​จะคล้ายกับโรค EMS ในกุ้งที่ทำให้ธุรกิจเจ๊งกันทั้งประเทศทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ต้องปลดคนออก​ ปิดฟาร์มกุ้ง​ ปิดโรงงานอาหารกุ้งไปหลายแห่ง ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัว)​

สัตวแพทย์​ควบคุมฟาร์ม​จะมีบทบาทมากขึ้น​ ตามความเข้มของมาตรฐานฟาร์ม​ มาตรฐานการป้องกันโรค อาจรวมไปถึงการจัดทำฟาร์ม​ปลอดโรค ASF​ แต่ปริมาณที่ต้องใช้ด้านฟาร์มหมูก็น้อยลง​ไปด้วย ส่วนหนึ่งมาจากหลายฟาร์มต้องปิดตัวลง​ และฟาร์มจะงดรับแขกทั้งที่เป็นที่ปรึกษา​ และฝ่ายขายยา​ อาหารสัตว์​ บริษัทที่มีนักวิชาการด้านนี้ก็ต้องลดคนลงและเน้นคุณภาพ​มากขึ้น นักศึกษาสัตวแพทย์​หรืออาจารย์​จะเลือกเรียนสาขาอื่นที่ไม่ใช่สายหมูหากสถานการณ์​โรค ASF ไม่สามารถควบคุมได้ในไทย​ ที่ฝึกงานหน่วยหมูมหาวิทยาลัยที่สอนสัตวแพทย์​และการเกษตรก็จะต้องเตรียมเอง เพราะคงไม่มีฟาร์มไหนเปิดรับให้ฝึกงานง่ายๆ เหมือนปัจจุบัน

แต่ถ้าสถานการณ์​ไม่คลี่คลาย​ (ฟาร์มที่เกิดโรคไม่สามารถ​กลับมาเลี้ยงใหม่ได้)​ ภายใน 1-2 ปี หลังเกิดโรคในไทย​ ทุกอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหมูจะตกงานเป็นจำนวนมาก

6. ผลกระทบด้านการแข่งขันทางธุรกิจ​หมู การแข่งจะไม่ใช่การแข่งทางด้านราคา/ต้นทุน​ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน​ แต่จะเเข่งกันด้านใครจะเกิดโรค ASF มากกว่ากัน​ รายย่อยใครไม่เกิดก็กำไร​ ใครเกิดก็เจ๊ง​ รายใหญ่ใครเกิดโรคน้อยกว่าก็กำไรมากกว่า เราจะเห็นภาพการลงทุนด้านการป้องกันโรคมาเป็นอันดับแรกๆ ในการปรับปรุงฟาร์ม

7. ผลกระทบด้านการตลาดสินค้าปศุสัตว์ ฟาร์มจะปิดสนิทไม่ให้คนนอกเข้า​ แค่โทรสั่งของและให้รถมาส่งแค่ประตูหน้าฟาร์ม​ และบางคนอาจไม่อยากออกมาพบปะสังสรรค์​กันเหมือนยุคก่อน การจัดสัมมนา​นำเสนอผลิตภัณฑ์​ที่มีการรวมตัวกันของเกษตรกรหลายๆ ฟาร์มก็ไม่สามารถทำได้ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น​ คือ​ เปลี่ยนรูปแบบการประชุมสัมมนาเป็นแบบออนไลน์​ เป็นต้น ทำให้​พนักงานฝ่ายขายทั้งอาหารสัตว์​ ยาสัตว์​ พันธุ์​สัตว์​ มีความจำเป็นน้อยลงในด้านการตลาด

8. ผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหมู​ อาหารสัตว์​ ผู้ผลิตวัตถุดิบ/premix อาหารสัตว์​ที่ใช้เฉพาะหมู ยาและวัคซีน​ อุปกรณ์​ฟาร์มหมู​ ระบบรถขนส่งหมู​ จะลดน้อยถอยลง​ เนื่องจากฟาร์มเกิดโรคมีหมูตายและถูกทำลายจำนวนมาก​ ส่วนฟาร์มที่ยังไม่เกิดโรคก็แทบจะลดการเข้าเล้าหมูไปทำกิจกรรมต่างๆ ลง​ รวมถึงการทำวัคซีน​/ฉีดยา เขตโรคระบาดแทบจะตัดวัคซีนทุกตัวออกจากฟาร์มเพื่องดการเข้าออกเล้า​ เข้าทำนอง​ “เป็นโรคอื่น 100 ครั้ง​ ก็ไม่เท่าเป็น ASF แค่ครั้งเดียว”

ส่วนธุรกิจยาฆ่าเชื้อจะยังพอไปได้ในระยะ 2-3 ปี​ แต่หลังจากนี้​ ยอดจะลดลงอย่างรวดเร็ว​ จาก 2 ปัจจัยคือ​ 1) มีคู่แข่งราคาถูกเข้าตีตลาดมากขึ้น​ (บริษัทที่ยอดยาอื่นลด จะหันมาผลิตและนำเข้ายาฆ่าเชื้อแทน)​ และ​ 2) เมื่อสถานการณ์​โรคเริ่มคลี่คลาย​ ยาฆ่าเชื้อจะกลับมาใช้ที่อัตราส่วนปกติคือ ​1:400​ ซึ่งจะลดการใช้ลงไปถึง 4 เท่า​ และสิ่งที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมาก่อนในวงการหมูคือ​ รายได้จากห้องปฏิบัติการ​ ผู้ผลิตและขายชุดอุปกรณ์​ตรวจโรค ASF จะมีรายได้หรือยอดขายถล่มทลาย

9. ผลกระทบต่อธุรกิจอื่น ธุรกิจด้านการผลิตเนื้อสัตว์​ชนิดอื่นจะโตขึ้นทดแทนเนื้อหมูที่ขาดแคลน​ โดยเฉพาะไก่เนื้อ​ มีผลทำให้ฟาร์มสัตว์ปีก​ อาหารสัตว์ปีก ยาและเวชภัณฑ์​ประเภทสัตว์​ปีก​ขยายตัว​ มีการเปลี่ยนอาชีพของคนเลี้ยงหมู​มาเลี้ยงไก่ และผู้บริโภคก็มีการบริโภคเนื้อสัตว์อื่นแทนเนื้อหมูที่ขาดแคลนและมีราคาแพง

10. ผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศ​ เมื่อไทยเกิดโรค ASF และไม่สามารถกำจัดโรคออกจากประเทศได้​ ประเทศต่างๆ จะ​ระงับการนำเข้าหมูขุน​ เนื้อหมู​ หมูพันธุ์​ อาหารสัตว์​ วัตถุดิบ​อาหารสัตว์​ ยา/เวชภัณฑ์​ที่ผลิตในไทย​ ทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก​ แม้รัฐจะมีแผนสำรองด้านการผลิตแบบเขตปลอดโรค ASF หรือระบบ​ Compartment แต่ก็ต้องอาศัยเวลากว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าได้​ และสิ่งที่ไทยกลัวที่สุด สุดท้ายจะเกิดขึ้นคือ​ “ความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ” หากสถานการณ์​เลวร้ายจนไม่สามารถควบคุมได้

ผลกระทบแต่ละด้าน ผู้เขียนได้รวบรวมมาจากต่างประเทศที่ประสบปัญหาตามที่เราก็รับรู้ข่าวสารได้จากสื่อต่างๆ​ ผลกระทบของโรคนี้รุนแรงที่สุดเท่าที่วงการหมูเคยประสบมา​ ทุกคนในวงการคงจะรู้กันดีอยู่แล้ว​ แต่จะมีสักกี่คนที่จะ​ “ทำหน้าที่” ป้องกันประเทศ​ไม่ให้เกิดผลกระทบเหล่านี้กับประเทศไทย

ทุกข้อเป็นแค่การคาดการณ์​เท่านั้น อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้​ วัตถุประสงค์​ที่เขียน เพราะอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญในการช่วยกันป้องกันไม่ให้มันเกิด และเตรียมพร้อม เมื่อเกิดโรคแล้วจะปรับตัวอย่างไรเพื่อความอยู่รอด เเต่ละฟาร์ม แต่ละบริษัท แต่ละองค์กร​ จะมีแนวทางปรับตัวและแผนรับมือแตกต่างกัน​ ใครจะอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงระยะสุดท้ายคือช่วง​ Peak ของราคาก็คงจะรู้กัน

แต่ทุกวิกฤตก็มักจะมีโอกาสแฝงอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเห็นและรีบไขว่คว้ามาเป็นของตัวเอง “ขอให้ไทยปลอดภัยจาก ASF”

ขอขอบคุณ : น.สพ.อดิศักดิ์​ สมอ่อน (CPF Swine Veterinary​ Service)

Pasusart News
No.1 Livestock Online Magazine in Thailand
https://pasusart.com